13 May 2015
ผมจะไม่เขียนรายละเอียดให้มากมายในโรคนี้เพราะสามารถไปหาอ่านกันเองได้ในอินเตอร์เน็ต
แต่ผมจะเขียนสิ่งที่ผมอ่านมา และผมเชื่อ และไม่มีใครอยากจะเขียน เพราะมันทำให้รายได้เค้าหายไป แต่จะหยิบมาจากบุคคลต่อไปนี้ซึ่งไม่สังกัดในโรงพยาบาล แต่เป็นนักเคมี นักโภชนาการ นักบำบัดทางเลือก และรายงานทางการแพทย์เท่าที่ผมเคยอ่าน ที่ทำให้ผู้ป่วยหายได้เด็ดขาด แบบไร้ ยา....
มาเริ่มกัน....ยาวก็ต้องอ่านนะ ขอร้อง
นายแพทย์รอเบิร์ต วิลเลียมส์ (Robert Williams) แพทย์ในลอนดอนเขียนเล่าไว้ในวารสาร British Medical Journal ว่าผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งเกิดปัญหารูมาติซึมเพราะแพ้ข้าวโพด จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเลิกรับประทาน อาการรูมาติซึมของเธอค่อยๆดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่แล้วกลับเกิดอาการขึ้นอีก ครั้งหลังนี้อาการค่อนข้างรุนแรง เมื่อตรวจสอบดูพบว่าเธอเผลอรับประทานอาหารบางชนิดที่มีการเติมแป้งข้าวโพดเข้าไปด้วยความไม่รู้ จากการบริโภคข้าวโพดและอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งข้าวโพดฉนั้นจึงต้องอ่านฉลากอาหารเสมอนะ
นายแพทย์คอลลิน ดอล (Collin Dong) แห่งสหรัฐอเมริกา กับหนังสือที่ต้องซื้ออ่านผ่าน อินเตอร์เน็ต ชื่อว่า ตำราอาหารสำหรับโรคข้ออักเสบ (Arthritis Cookbook) แนะนำว่าผู้ที่มีปัญหารูมาติซึมต้องเลิกเนื้อสัตว์ มะเขือเทศ ผลิตภัณฑ์นม พริกไทย เหล้า เครื่องเทศ และสารเคมีเจือปนอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งผงชูรส บรรดาอาหารและสารเคมีเจือปนตามที่กล่าวถึงนั้น นายแพทย์ดองกล่าวว่ามีโอกาสสร้างปัญหารูมาติซึมได้ทั้งสิ้น
นายแพทย์แพนัช(Richard Panush) กล่าวว่าผู้ป่วยบางคนเกิดอาการรูมาติซึมเพราะว่าแพ้อาหารจริง เช่น แพ้นม แพ้อาหารทะเล หรือแพ้สารไนไทรต์ที่นิยมเติมลงในพวกเนื้อปรุงทั้งหลาย เป็นต้น
รายงานผู้ป่วยของมหาวิทยาลัย เวโรนา ในประเทศอิตาลี รายงานว่า มีชาวอิตาลีผู้หนึ่งซึ่งเกิดอาการรูมาติซึมขึ้นเพราะแพ้ อาหารประเภทธัญพืช เธอมารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการของรูมาติซึม แม้แพทย์จะให้ยา คอร์ติโคสเตอรอยด์ รวมทั้งเกลือของทอง (เกลือของทองเป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลของทองประกอบอยู่ด้วย) เข้าไปแล้วอาการก็ยังไม่ทุเลา ภายหลังแพทย์พบว่าคนไข้ผู้นี้มีอาการแพ้ธัญพืช เมื่อเลิกให้ธัญพืชในมื้ออาหาร อาการรูมาติซึมจึงค่อยดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีเพียงรูมาติซึมบางกลุ่มเท่านั้นที่เกิดจากการแพ้อาหาร และในกรณี การแพ้อาหารแล้วมักจะเกิดจากข้าวโพดและข้าวสาลีมากที่สุด ข้าวสาลี (รวมทั้งข้าวโอตและข้าวบาร์เลย์) มักก่อปัญหารูมาติซึมให้แก่ผู้ป่วยบางราย แพทย์เชื่อว่าสารโปรตีนกลูเทนที่พบในธัญพืชกลุ่มนี้น่าจะเป็นต้นเหตุสำคัญ ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่น่าจะถือว่าเป็นอาหารแสลงของรูมาติซึมอาหารแสลงที่พบที่สุดคือ เนื้อและไขมันจากเนื้อสัตว์ มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่เป็นรูมาติซึมและต่อมาอาการทุเลาลงได้เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนอาหารมาเป็นอาหารมังสวิรัติ โดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์อีกเลย
นายแพทย์เจลด์เซน-กรัฟ (Jen Kjeldsen-Kragh) เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านรูมาติซึมรายงานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 แล้วว่าผู้ป่วยรูมาติซึมหากเลิกรับประทานเนื้อสัตว์หันกลับไปใช้ชีวิตแบบมังสวิรัติ อาการจะดีขึ้นถึง 9 ใน 10 คน ผู้ป่วยรูมาติซึมมีอาการปวดเจ็บ บวมแดงตามข้อ เมื่อเปลี่ยนอาหารที่เคยรับประทานตาม ปกติมาเป็นอาหารมังสวิรัติ งดเนื้อต่างๆโดยสิ้นเชิงปรากฏว่าภายในระยะหนึ่งเดือนอาการจะเริ่มดีขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มที่ยังรับประทานอาหารแบบเดิมอาการปวดบวมไม่ลดลง ที่น่าอัศจรรย์คือผู้ป่วยที่เปลี่ยนมา รับประทานอาหารมังสวิรัติจะหายจากรูมาติซึมอย่างสิ้นเชิงได้ในเวลาหนึ่งปี
วิธีการที่นายแพทย์เจลด์เซน-กรัฟปฏิบัติ คือ สัปดาห์แรกให้ผู้ป่วยเริ่มด้วยการอดอาหาร โดยดื่มน้ำชาสมุนไพร รับประทานโจ๊กผัก น้ำปั่นผัก เช่น แครอต หัวบีต (beetroot) ขึ้นฉ่าย และมันฝรั่ง (หากเป็นคนไทยอาจประยุกต์ เป็นผักไทย) 3-5 เดือนหลังจากนั้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัดห้ามเนื้อ นม ไข่ โดยห้ามกระทั่งปลา นอกจากนี้ยังห้ามธัญพืชที่มีโปรตีนกลูเทน เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวโอต งดน้ำตาลขัดขาว หรือน้ำตาลทราย งดผลไม้รสเปรี้ยว งดอาหารรสจัด งดเบียร์ งดมอลต์ ที่สำคัญคือระวังอาหารที่เติมสารกันบูดทุกชนิด จึงต้องระวังไม่บริโภคอาหารกระป๋อง
พ้น 5 เดือนไปแล้วผู้ป่วยจะค่อยๆได้รับอาหารที่เคยห้ามไว้กลับไปทีละชนิดพร้อมทั้งคอยสังเกตอาการ เช่น เริ่มให้และนมผลิตภัณฑ์นมจากนั้นให้ข้าวสาลี คอยดูด้วยว่าหากเกิดอาการรูมาติซึมกำเริบขึ้นมาภายใน 2-48 ชั่วโมง จึงต้องหยุดอาหารเหล่านั้นเพราะผู้ป่วยมีอาการแพ้ งดอาหารที่แพ้ไปสักหนึ่งสัปดาห์แล้วลองให้อาหารชนิดนั้นใหม่ อาการแพ้อาจจะทุเลาลงหากยังแพ้อยู่ก็แสดงว่าผู้ป่วยปรับตัวกับอาหารชนิดนั้นไม่ได้ ข้อสรุปของนายแพทย์ เจลด์เซน-กรัฟ คือ การงดไขมันสัตว์เนื้อสัตว์เป็นการขจัดสารที่เร่งอาการอักเสบออกจากอาหาร นอกจากนี้อาหารหลายชนิดที่มักไปกระตุ้นอาการอักเสบเมื่อถูกขจัดออกไปทีละอย่างสองอย่าง ผู้ป่วยย่อมมีอาการดีขึ้นได้เอง การใช้อาหารบำบัดอาการรูมาติซึมจึงไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนแต่อย่างใดเลย มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเมื่อลองรับประทานอาหารมังสวิรัติแล้วอาการรูมาติซึมจะเริ่มดีขึ้นจนกระทั่งหายไปในที่สุด
บางรายพบว่าอาหารประเภทพืชผักให้ผลดีกว่าการใช้ยาเสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้นายแพทย์ฟูร์แมน (Joel Fuhrman) แห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับรูมาติซึมก็ได้ยืนยันไว้เช่นเดียวกัน
นายแพทย์ฟูร์แมนอธิบายไว้ง่ายๆว่ารูมาติซึ่มนั้นหากไม่มีสารบางชนิดไปกระตุ้น อาการอักเสบอาจจะไม่เกิดขึ้น อาหารอาจไม่ช่วยรักษาอาการอักเสบแต่ในอาหารบางชนิดมีสารที่กระตุ้นอาการของโรค เมื่อลองงดอาหารชนิดนั้นๆอาการของโรคจะหายไปได้ ตัวอย่างผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่รายหนึ่งที่น่าสนใจ หญิงคนหนึ่งอายุ 62 ปี เป็น รูมาติซึมทนทุกข์ทรมานมานาน ใช้ยารักษา 9 ชนิด ได้แก่ อัลเทซ อะซุลฟีดีน เบโคลเวนต์ ดิโกซิน อิโตริน นาซัลครอม ออกานิดิน เพรดนิโซน และยาเซลเดน แม้จะรับประทานยามากอย่างนั้นแต่อาการมีแต่ทรงกับทรุด กำมือไม่ได้เลยมา 10 ปีแล้ว ปวดเจ็บไปหมดทั่วร่างกาย นายแพทย์ฟูร์แมนเริ่มรักษาเธอโดยการใช้อดอาหาร จากนั้นจึงให้อาหารมังสวิรัติ อาการของผู้ป่วยเริ่มดีขึ้น เมื่อรับประทานอาหารมังสวิรัติเน้นผักไปได้สักครึ่งปี ผู้ป่วยสามารถหยุดยาทุกชนิดได้หมด ที่สำคัญคือเธอกำมือได้หลังจากไม่เคยกำมาเลยตลอด 10 ปี
พืชผักที่ควรเลี่ยง
คือธัญพืชประเภทข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวโอต มอลต์ ควรจะต้องเลิกเป็นอันดับแรก ดร. ดาร์ลิงตัน (L. Gail Darlington) ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแห่งอังกฤษระบุว่าธัญพืชที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดสำหรับผู้ป่วยรูมาติซึม ธัญพืชอีกชนิดหนึ่งที่จำเป็นต้องงดบริโภคคือข้าวโพด จะเป็นข้าวโพดหวานหรือข้าวโพดข้าวเหนียวก็ตามที มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ส่วนอาหารประเภทเนื้อสัตว์บกและสัตว์ปีก ไขมันสัตว์ นม ผลิตภัณฑ์นมทั้งเนยแข็งเนยอ่อนควรลองหยุดสักพัก หากหยุดไปตลอดและเปลี่ยนเป็นมังสวิรัติไปเลยก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
แล้วอาหารที่ช่วยล่ะ ....ตามมา
โอเมกา 3 กับรูมาติซึม
อาหารไขมัน เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสารกึ่งฮอร์โมนที่เรียกว่า ไอโคซานอยด์ (eicosanoid) สารกลุ่มนี้มีอยู่มากมายหลายชนิด บางตัวเร่งอาการอักเสบ บวมแดง บางตัวทำให้อาการอักเสบบวมแดงเหล่านั้นลดลงได้ ตัวอย่างในกรณีนี้ เช่น เนื้อปลาทะเลมีไขมันที่เรียกว่ากรดไขมันโอเมกา 3 ที่ช่วยลดอาการอักเสบจากรูมาติซึมได้ ผมขอพาย้อนไปดู รายงานทางการแพทย์ในปี พ.ศ. 2309 ว่าหญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์ทนทุกข์ทรมานกับรูมาติซึมมานานพยายามหาอาหารที่จะใช้รักษาโรค ลองอาหารและลองยามาทุกชนิด
แล้วแต่ไม่ประสบผล เธอทรมานอยู่อย่างนั้นกระทั่งวันหนึ่งเธอรบเร้าแพทย์ว่าจะขอลองรับประทานน้ำมันตับปลาดูบ้าง น้ำมันตับปลายุคก่อนนั้นชาวเรือเก็บไว้ใส่ตะเกียงเป็นเชื้อเพลิงในเวลาค่ำ บางครั้งก็ นำมารับประทานแก้อาการตาบอดในเวลากลางคืนที่เรียกกันว่าอาการไก่ตาฟางที่มักเกิดขึ้นในเวลา ที่เดินเรือท่องทะเลเป็นเวลานานต่อมาภายหลังเป็นที่ทราบกันว่าอาการตาบอดกลางคืนเกิดการขาด
วิตามินเอและน้ำมันตับปลาเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ หญิงสาวคนดังกล่าวหาที่พึ่งอื่นไม่ได้จึงเลือกที่จะ ลองเสี่ยงรับประทานน้ำมันตับปลาซึ่งมีกลิ่นรสเลวร้าย เหม็นหืนชวนคลื่นไส้ หญิงสาวสู้ทนรับประทานน้ำมันตับปลาวันละสองสามช้อนโต๊ะอยู่หนึ่งสัปดาห์ปรากฏว่าอาการปวดบวมจากรูมาติซึมกลับลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์จนแทบจะหายขาด เมื่อมีอาการอักเสบเกิดขึ้นเมื่อใดเธอจะรับประทานน้ำมันตับปลาค้อดเมื่อนั้น อาการก็ทุเลาลง หากเลิกรับประทานอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกผลในลักษณะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ทางโรงพยาบาลแมนเชสเตอร์แนะนำน้ำมันตับปลาให้แก่ผู้ป่วยรูมาติซึมอื่นๆในที่สุด
วิตามินเอและน้ำมันตับปลาเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ หญิงสาวคนดังกล่าวหาที่พึ่งอื่นไม่ได้จึงเลือกที่จะ ลองเสี่ยงรับประทานน้ำมันตับปลาซึ่งมีกลิ่นรสเลวร้าย เหม็นหืนชวนคลื่นไส้ หญิงสาวสู้ทนรับประทานน้ำมันตับปลาวันละสองสามช้อนโต๊ะอยู่หนึ่งสัปดาห์ปรากฏว่าอาการปวดบวมจากรูมาติซึมกลับลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์จนแทบจะหายขาด เมื่อมีอาการอักเสบเกิดขึ้นเมื่อใดเธอจะรับประทานน้ำมันตับปลาค้อดเมื่อนั้น อาการก็ทุเลาลง หากเลิกรับประทานอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกผลในลักษณะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ทางโรงพยาบาลแมนเชสเตอร์แนะนำน้ำมันตับปลาให้แก่ผู้ป่วยรูมาติซึมอื่นๆในที่สุด
และได้ผลสรุปตรงกันว่าน้ำมันตับปลาช่วยลดอาการปวดบวมจากรูมาติซึมได้จริง
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าในน้ำมันตับปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันปลา มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอีพีเอ (EPA หรือ eicosapentaenoic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มกรดไขมันโอเมกา 3 ที่เป็นสารสร้างไอโคซานอยด์ที่ลดอาการปวดบวมหรืออาการอักเสบที่เกิดขึ้นได้
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าในน้ำมันตับปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันปลา มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอีพีเอ (EPA หรือ eicosapentaenoic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มกรดไขมันโอเมกา 3 ที่เป็นสารสร้างไอโคซานอยด์ที่ลดอาการปวดบวมหรืออาการอักเสบที่เกิดขึ้นได้
ไอ้ตัวแสบที่โฆษณากันว่าดี .........ตามมา
กรดไขมันกลุ่มโอเมกา 6 ที่พบในไขมันสัตว์และน้ำมันพืชทั่วๆไปจะมีกรดไขมันที่เรียกว่าแอแรกคิดอนิก สร้างสารที่เร่งอาการอักเสบ ผู้ที่มีอาการปวดบวมอักเสบจากรูมาติซึมจึงอาจมีอาการกำเริบมากขึ้นหากรับประทานไขมันสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่ ตลอดจนน้ำมันพืชบางชนิดได้แก่ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด แต่อาการจะลดลงหากรับประทานไขมันจากปลาทะเล
และผมแนะนำการเพิ่มเอ็นไซม์ เพราะ ทั้ง Dr.Rita Lee และ Dr.Baraly ก็ใช้บำบัดผู้ป่วยโรคนี้หายมาเยอะเหมือนกัน แต่ ผมว่ามันจะยาวไปครับ
เอาล่ะครับ อ่านกันแล้วใครมีปัญหาโรคนี้ ขอให้พึงสังเกตว่า กินอะไรแล้วมีอาการ ก็อย่าไปกินมัน ก็น่าจะจบ และ มีชีวิตเป็นปกติได้ครับ
สวัสดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น