ในบ้านผมไม่มีสิ่งนี้
เพื่อนท่านหนึ่งต้มถั่วขาวใส่ช่องแช่แข็งเหมือนผม เธอบอกว่าไม่อยากใช้ไมโครเวฟ ต้องทำอย่างไร ผมก็ตอบไปว่า ตักใส่จานสัก2-3 ช้อนโต๊ะแล้วเอาข้าวร้อนๆโปะบน ก็ทานได้ แล้วผมก็นึกเป็นห่วงเธอขึ้นมา เลยหยิบความรู้นี้มาฝากเธอ รวมถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งยากแก่การวินิจฉัยหาสาเหตุ ผมเลยขอให้เขาหยุดใช้ครับ
และสิ่งต่อไปนี้เป็นเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่ขอให้ใครเชื่อ ไม่บังคับให้เชื่อ ไม่ตื้อ และไม่ง้อ โปรดใช้วิจารณญาณของตัวท่านเองครับ
ผมได้อ่านเรื่องนี้เยอะมากรวมถึงงานวิจัยของประเทศที่เขาห้ามใช้ และผมแปลกใจนิด ๆ ที่การออกมาตอบข้อกังขาของผู้คนโดยผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณะสุขไทยที่เป็นที่เชื่อถือของคนทั้งประเทศ และวุฒิการศึกษายาวเหยียดนั้น ตอบโดยไม่มีผลการวิจัยมารองรับ
และคงเป็นที่ทราบกันดีนะครับว่า มนุษย์ดำรงตัวตนอยู่ได้ก็เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างอ่อน และแน่นอนว่าคลื่นไมโครเวฟไม่ตกค้าง แต่มาพิจารณาข้อมูลเหล่านี้กันครับ
เคยสงสัยไหมว่า
ทำไมบนฉลากขวดนมสาหรับเลี้ยงทารก มีการระบุอย่างชัดเจน ว่าห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้าให้เดือด
ทำไมประเทศรัสเซียจึงประกาศห้ามใช้เตาไมโครเวฟนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา
ทำไมงานวิจัยในอเมริกาจึงมีน้อยนักในเรื่องนี้
ผมมันอยู่ไม่สุขครับ อ่านไปเรื่อย งั้นมาดูที่ผมอ่านมาแบบย่อให้นะครับ
จะเกิดอะไรขึ้น หากโมเลกุลของน้ำถูกเหวี่ยงด้วยความถี่ 2,450 ล้านรอบต่อวินาที ?
คู่มือการใช้เตาไมโครเวฟมีคำอธิบายว่า แมกนีตรอนในเตาไมโครเวฟจะเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นไมโครเวฟที่มีความถี่สูงถึง 2,450 ล้านรอบต่อนาที โมเลกุลของน้ำในอาหารจะเกิดการสั่นสะเทือนและเสียดกันจนเกิดความร้อน
ในคู่มือเน้นย้ำ ว่าคลื่นไมโครเวฟไม่ใช่รังสี จะมีการสลายตัวและไม่สะสมในร่างกาย จึงไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ การเน้นย้ำจนผิดสังเกตนี้เองที่ทำให้ต้องค้นคว้าข้อมูล และพบว่ามีข้อมูลการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพจาการใช้เตาไมโครเวฟไม่มากนัก แต่ผลการวิจัยเหล่านั้นมักถูกนำมาอ้างอิงอยู่เสมอและที่สำคัญไปกว่านั้น มักเป็นข้อมูลที่คนสนใส่ใจสุขภาพอย่างเราๆท่านๆไม่ควรมองข้ามครับ
งานวิจัยชิ้นใหญ่ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์การวิจัยเกี่ยวกับเตาไมโครเวฟ คืองานวิจัยของรัสเซียที่ค้นพบ คาร์ซิโนเจน (Carcinogen) หรือสารก่อมะเร็งในเนื้อสัตว์ นม และเมล็ดธัญพืช ที่ผ่านการหุงต้มด้วยไมโครเวฟ ส่วนวิตามินบี ซี อี ตลอดจนแร่ธาตุสำคัญต่างๆ ก็ลดลงด้วย เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากโมเลกุลในอาหารจะสั่นสะเทือนด้วยความเร็วหลายพันล้านรอบต่อนาทีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขั้นบวกและลบ โมเลกุลบางส่วนเสียหาย บางส่วนผิดรูปร่าง บางส่วนแตกกระจายเป็นโมเลกุลหรือสารประกอบใหม่ที่ร่างกายเราไม่เคยรู้จัก
อีก 15 ปีต่อมา มีงานวิจัยชิ้นเล็ก ๆ แต่มีคุณภาพและยิ่งใหญ่ ทั้งในแง่สิ่งที่ค้นพบ และในฐานะที่มันสะท้อนให้เห็นถึงการมุ่งผลประโยชน์ด้านธุรกิจมากกว่าการใส่ใจหรือรับผิดชอบต่อสุขภาพของผู้บริโภคในวงการอุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟ ราวกับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงอุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟกันเลยทีเดียว แล้วภายหลังตีพิมพ์ผลงานไม่นาน สมาคมผู้ค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและอุตสาหกรรมแห่งสวิตเซอร์แลนด์หรือที่รู้จักกันในชื่อ FEA ก็อาศัยอำนาจศาลสั่งให้ ดร. เฮอร์เทล ยุติการเผยแพร่ข้อมูล
ต่อมาในปี 2536 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาว่า ดร. เฮอร์เทลทำลายการค้า พร้อมสั่งปรับและห้ามไม่ให้ตีพิมพ์ผลการวิจัยอีกต่อไป ทว่าในอีก 5 ปีต่อมา ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปที่ออสเตรียได้พิพากษาว่า การสั่งห้ามไม่ให้ ดร. เฮอร์เทลพูดถึงอันตรายของเตาไมโครเวฟที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งนี้ได้สั่งศาลสวิตเซอร์แลนด์จ่ายค่าชดเชยให้ ดร.เฮอร์เทลด้วย ผมสมน้ำหน้ามากครับ
มาดูว่าพวกอยู่ไม่สุขทำอะไร
ดร. ฮานส์ อุลริช เฮอร์เทล (Hans Ulrich Hertel) นักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำงานของมหาวิทยาลัยโลวาน ศึกษาผลกระทบด้านโภชนาการของอาหารไมโครเวฟที่มีต่อเลือดและร่างกายของมนุษย์ โดยให้อาสาสมัคร 8 คนกินนมและผักที่เตรียมด้วยวิธีต่างกัน คือ นมสด , นมชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดั้งเดิม,นมพาสเจอไรซ์,นมสดที่ผ่านการต้มด้วยไมโครเวฟ,ผักสดจากฟาร์มอินทรีย์,ผักชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม,ผักชนิดเดียวกันแต่แช่แข็งและละลายในไมโครเวฟ และผักชนิดเดียวกันแต่หุงต้มในไมโครเวฟ มีการเก็บตัวอย่างเลือดก่อนกินขณะท้องว่าง และหลังกิน
ผลการทดลองปรากฏว่า พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเลือดของผู้กินอาหารที่ผ่านการหุงต้มด้วยไมโครเวฟ เช่น เฮโมโกลบินลดลง โคเลสเทอรอลชนิดดีลดลง เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่เซลล์สร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ในเชิงโลหิตวิทยาถือเป็นสัญญาณอันตราย กล่าวคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ร่างกายจึงต้องผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อจัดการกับความผิดปกติเหล่านั้น
เมื่อปี 2546 Journal of the Science of Food and Agriculture ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในบรอกโคลีที่ผ่านการหุงต้มด้วยวิธีต่าง ๆ พบว่าบรอกโคลีที่ผ่านการต้มด้วยไมโครเวฟจะสูญเสียการต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ คือ ฟลาโวนอยด์ , ไซแนปิกส์ และแคฟฟีออยล์ควินิก ดีไรเททิฟส์ ในอัตรา 97,74 และ 87 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ขณะที่บรอกโคลีที่ต้มแบบดั้งเดิมจะสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระตามลำดับข้างต้นเพียง 11,0 และ 8 เปอรเซ็นต์เท่านั้น
Dr. Lita Lee จากฮาวาย ได้เขียนหนังสือเรื่อง รังสีไมโครเวฟและเตาอบไมโครเวฟ โดยระบุว่า ทุกครั้งที่มีการรั่วไหลของรังสี electro-magnetic จากเตาอบไมโครเวฟ ทำให้อาหารถูกแปรสภาพเป็นอันตรายและพิษต่ออวัยวะแล้วกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
ทั้งนี้ Dr. Lita Lee ได้อ้างอิงการค้นคว้าของสหภาพโซเวียต ซึ่งถูกตีพิมพ์โดย Atlantis Rising Educational Center เมือง พอร์ตแลนด์ มลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ "สารก่อมะเร็ง" ที่ถูกก่อขึ้นในอาหารทุกชนิดที่ใช้ในการทดสอบจากการปรุงอาหารโดยการให้เตาอบไมโครเวฟที่ทำการทดสอบโดยชาวรัสเซียซึ่งได้ผลดังต่อไปนี้
- เนื้อสัตว์ที่ผ่านการอบในเตาอบไมโครเวฟ จะก่อให้เกิดการก่อตัวของสิ่งที่เรียกว่า d-Nitrosodiethanolamines หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
- นมที่ผสมกับธัญพืช (Cereal Grains) แล้วถูกอุ่นให้ร้อนโดยเตาอบไมโครเวฟ จะถูกแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง
- ผลไม้แช่แข็งที่ถูกให้ความร้อนโดยเตาอบไมโครเวฟ จะทำให้น้ำตาลและแป้งในผลไม้ที่เรียกว่า Glucoside และ Galactyoside จะถูกแตกตัวไปและกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
- การใช้ความร้อนสูงจากเตาอบไมโครเวฟเพื่อใช้ในการทำอาหารพวกผักสด ปรุงสุก หรือแช่แข็ง จะถูกกลายสภาพกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
- อนุมูลอิสระที่เป็นสารก่อมะเร็งทั้งหลาย จะรวมกลุ่มกันในพืชที่ผ่านไมโครเวฟ โดยเฉพาะผักที่มีราก และลดคุณค่าของอาหารนั้นๆ
จากรายงานของกลุ่มนักวิจัยชาวรัสเซียได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอาหารนั้นเป็นอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุของการลดลงของคุณค่าอาหาร 60%-90% โดยพบว่า เป็นการลดคุณค่าของสารอาหารตามธรรมชาติของวิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี แร่ธาตุที่สำคัญ และประสิทธิภาพการป้องกันการสะสมของไขมันในตับของอาหารในอาหารทุกประเภท และยังทำลายสารประกอบที่สำคัญหลายชนิดที่อยู่ในผัก เช่น Alkaloids, Glucosides, Galactosides, Nitrilosides อีกทั้งยังลดคุณสมบัติ nucleo-proteins ในเนื้อสัตว์อีกด้วย
ดร. หงซานเ ปิ่น (ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์)
รายงานไว้ว่า พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมอง ลดลง สมองเสื่อม ทำให้คลื่นสมองมีความยาวคลื่นสั้นลง ในไมโครเวฟนอกจากจะ เป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังเป็นสารตกค้างที่ร่างกายขจัดไม่ได้ คลื่นในระยะยาวจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง
รายงานไว้ว่า พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมอง ลดลง สมองเสื่อม ทำให้คลื่นสมองมีความยาวคลื่นสั้นลง ในไมโครเวฟนอกจากจะ เป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังเป็นสารตกค้างที่ร่างกายขจัดไม่ได้ คลื่นในระยะยาวจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง
บางงานวิจัย กล่าวว่า ผลจากการอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ ทำให้ผู้ชายเป็นหมัน แล้วมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ส่วนผู้หญิงจะเป็นมะเร็งที่มดลูก ลูกออกมามักไม่สมบูรณ์ ผลทางร่างกาย คือ หงุดหงิด สมองเสื่อม เมตาบอลิซึ่มผิดปกติ ไมเกรนก็เป็นได้ง่ายขึ้น
อีกงานหนึ่งเขียนไว้ว่า
- มีการพบว่าต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติไป ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการต่อต้านหรือป้องกันเซลล์มะเร็งหลายชนิดลดลงไป
- มีการพบว่าต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติไป ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการต่อต้านหรือป้องกันเซลล์มะเร็งหลายชนิดลดลงไป
- พบอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นของเซลล์มะเร็งในเลือด
- พบโอกาสในอัตราเพิ่มขึ้นสำหรับมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้
- พบอัตราความผิดปกติในระบวนการย่อยอาหารเพิ่มมากขึ้น และระบบจะค่อยๆเสื่อมสภาพจนถูกทำลายและไม่สามารถย่อยอาหารได้อีก
คุณผู้หญิงท่านหนึ่งเธอเขียนไว้ด้วยลีลาที่น่ารักมาก ดังนี้ครับ
ทั้งนี้ยึดตามหลักการที่ว่า การบริโภคอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายคนเราคุ้นเคยจะก่อให้เกิดผลดีมากกว่าการบริโภคอาหารที่ผ่านการดัดแปลงปรุงแต่งจนกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมจนร่างกายไม่สามารถจะย่อยหรือทำตัวให้คุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นได้ สุดท้ายก็จะเกิดการต่อต้าน มีการสะสมของสารพาที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายหรือขับออกไปได้ และก่อให้เกิดโรคต่าง ๆตามมา
ตอนนี้ หลังจากได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเตาไมโครเวฟมากขึ้น และชั่งน้ำหนักระหว่างค่าของความสะดวกสบายกับความปลอดภัยในระยะยาวดู ดิฉันจึงตัดสินใจว่าจะใช้เตาไมโครเวฟเพื่อทำดอกไม้อบแห้งและทำความสะอาดเขียงเท่านั้นค่ะ
ลีลาเธอช่างประทับใจผมจริงๆครับ
ส่วนใครจะเชื่อเนื้อหาข้างต้นนี้หรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคลนะครับ แต่สำหรับผมตราบใดที่นักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด ผมก็ใช้วิธีที่ ปู่ย่าตายาย ซึ่งอายุเกินร้อยปีท่านปฏิบัติกันมาครับ ก่อนลา ขอให้ทุกคนทุกท่านมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้าครับ สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น