วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การดีท๊อกซ์แบบโภชนาการบำบัด (Detox diets)1

6 Sep 2014


Detox (ดี ท็อกซ์) หมอนอกกะลา
วันนี้จะเอากันแบบลึกซึ้งทุกแง่ทุกมุม และยาวแน่นอนครับ เหตุเพราะผมได้ยินผู้ป่วยที่ขอคำปรึกษาจากผมหลายท่านบอกว่าทำกันทุกวัน และจับประเด็นมาได้นิดหน่อยก็ทำกันใหญ่เลย ระบบร่างกายได้พังกันพอดีครับ เพราะไปทำหน้าที่แทนร่างกาย พอบ่อยเข้าร่างกายก็รับรู้ว่าหน้าที่นี้เราไม่ต้องทำ ก็เลยพากันลาพักร้อนยาวไปจนถึงลาออกกันเลยทีเดียว และยังเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วยครับ
มารู้จักกันก่อนครับ
detoxify แปลว่า เอาพิษออก
detoxification เป็นคำนาม แปลว่า การเอาพิษออก ครับ
แล้วพิษที่ว่ามันมาอยู่ในร่างกายเราได้อย่างไร
ก็โดยการดื่ม กิน การหายใจ ทางผิวหนัง ความเครียด รวมทั้งปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายของเราซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา สารเคมี ในที่นี้รวมถึงที่เราเรียกว่ายารักษาโรค ล้วนแต่ทำให้เกิด ท็อกซิน (TOXIN) ขึ้นในตัวเราทั้งนั้นครับและเป็นที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้สภาพแวดล้อมของโลกเราเป็นพิษมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เรากิน อากาศที่เราหายใจ น้ำที่เราดื่ม เหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยสารเคมีและสิ่งแปลกปลอมที่ถูกนำเข้าสู่ร่างกายของคนเราทุกวันๆนับเดือนนับปีหรือหลายสิบปี
แล้วร่างกายมีระบบกำจัดไหม
มีครับ หากร่างกายของเรามีโภชนาการที่เหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอเพื่อให้มีสุขภาพดี และถ้าอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการกำจัดและล้างสารพิษทำงานอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด นั่นหมายถึงร่างกายสามารถกำจัดสารที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพผ่านกระบวนการกำจัดของเสียโดยอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย เช่น ผิวหนัง ลำไส้ ตับ ไต และ ปอด โดยการทำงานของร่างกาย สารพิษจะถูกขับออกผ่านทางเหงื่อ, ผ่านทางลำไส้ (การขับอุจจาระ), ผ่านทางปัสสาวะ และการหายใจ อย่างไรก็ตามหากร่างกายมีการรับสารพิษต่างๆเข้ามาอย่างต่อเนื่องยาวนานและในปริมาณมากเกินกว่าที่ระบบการกำจัดของเสียและสารพิษของร่างกายจะสามารถขับออกได้หมดอย่างปลอดภัย ร่างกายก็จะเกิดสภาวะเสียสมดุลเรื้อรังจากสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย อาการเจ็บป่วยเรื้อรังส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการสะสมของสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรือในทางตรงกันข้าม สาเหตุอาจมาจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อร่างกายได้รับสารพิษหรือสะสมของเสียต่างๆไว้เป็นเวลานานๆ ร่างกายก็จะยิ่งสูญเสียความสามารถในการกำจัดสารพิษหรือของเสียออกจากร่างกายตามธรรมชาติ และนั่นยิ่งทำให้อวัยวะต่างๆอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
การมีสารตกค้างหรือของเสียหรือสารพิษสะสมในร่างกาย เป็นสาเหตุพื้นฐานอันดับต้นๆของการเจ็บป่วยของคนเรา กระบวนการกำจัดสารที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ออกจากร่างกายในระดับเซลล์จะช่วยปรับสภาพและแก้ไขความไม่สมดุลของร่างกายที่เกิดจากสารพิษเหล่านี้ สำหรับการดีท๊อกซ์หรือล้างสารพิษที่ทีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องเสริมสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายสามารถกลับมาฟื้นฟูและเพื่อให้อวัยวะที่มีบทบาทในการขับของเสียและสารพิษกลับมาทำหน้าที่ของตัวมันเองตามธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ หากร่างกายไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอร่างกายจะเสียสมดุลและผมขอย้ำคำว่า สมดุลจนไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้เป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วยหรือร่างกายเสื่อมโทรมและชราก่อนวัยอันควร
การดีท๊อกซ์ทำให้ร่างกายกลับไปสู่สภาวะสมดุลและสามารถกำจัดของเสียหรือสารพิษภายในร่างกายได้อย่างเป็นปกติ อีกนัยหนึ่งการดีท๊อกซ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของความสามารถของร่างกายในการจัดการกับสารพิษต่างๆ ในความเป็นจริงแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่สารพิษจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างหมดจดโดยสิ้นเชิงด้วยกระบวนการปกติของอวัยวะในร่างกาย กระบวนการดีท๊อกซ์จึงมีความจำเป็นในการช่วยเสริมการทำงานดังกล่าว การดีท๊อกซ์หรือการล้างพิษจะส่งผลให้ความเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติเรื้อรังบางชนิดดีขึ้นหรืออาจหายไปเลย เนื่องจากการดีท๊อกซ์ส่งผลในทางบวกกับระบบต่างๆของร่างกายเกือบทุกส่วน เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบทางเดินหายใจ ระบบสืบพันธ์ ระบบขับถ่าย กล้ามเนื้อและต่อมไร้ท่อ ผิวพรรณโดยรวม
คุณอาจเคยได้ยินว่า “ดีท็อกซ์ คือ การสวนทวาร“ ไม่ใช่ทั้งหมดครับ
แท้จริงการกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย มีดังต่อไปนี้ครับ
การสวนทวาร
การอบไอน้ำ อบซาวน่า การอบสมุนไพร
การออกกำลัง กายบริหาร และการนวด
การใช้ สมุนไพร เอ็นไซม์ และอาหาร (กินเพื่อล้างพิษ และปรับสมดุล)
การถ่ายเลือด
การทำกัวซา (การเอาพิษออกจากร่างกายทางผิวหนังโดยการขูดผิว)
การอดเพื่อล้างพิษ (การอดอาหารทำให้ร่างกายได้พักเป็นการเก็บกวาดของเสีย และสารพิษออกไป)
การฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ
การฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษ
คราวนี้ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาครับแต่ผมแนะนำให้ทำอย่างน้อย 3 ทางเพื่อให้ครบองค์ประกอบ จะแยกประเภทให้ครับ
ผ่านทางอุจจาระ
ใครชอบความสะใจ ก็ใช้วิธีการสวนทวาร
สบายหน่อย ก็ใช้วิธี การใช้ สมุนไพร เอ็นไซม์ และอาหาร (กินเพื่อล้างพิษ และปรับสมดุล)
ผ่านทางผิวหนัง
ใครชอบความสะใจก็ใช้วิธีการทำกัวซา (เอาพิษออกจากร่างกายทางผิวหนังโดยการขูดผิว)
สบายหน่อย ก็ใช้วิธี การอบไอน้ำ อบซาวน่า หรือการนวด
และที่ดีสุดในกลุ่มนี้ครับคือ การออกกำลัง กายบริหาร
ทางลมหายใจ
การฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ
การฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษ
ส่วนวิธีการ มีครับแต่กลัวจะยาวจัด เอาเป็นว่าใครอยากได้ก็ไปค้นหาดูหลายๆวิธี และเป็นวิธีที่เหมาะสมด้วยเหตุและผลหรือจะขอมาเป็นเรื่องๆไปจะดีกว่านะครับ
ข้อควรระวัง และข้อห้าม
รักษาความสะอาดทั้งก่อนและหลังการสวนทวาร เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
หลังทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนทวาร คุณจะรู้สึกโล่งโปร่งเบาสบายตัว แต่หากคุณมีอาการในทางตรงข้าม แสดงว่าร่างกายอาจไม่เหมาะกับการดีท็อกซ์วิธีนี้ ควรหยุดทำครับ
ก่อนจะสวนทวารต้องปล่อยน้ำออกจากสายยางเพื่อไล่ลมก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดลมในช่องท้อง ทำให้อึดอัด และในกรณีคนที่ไม่กินกาแฟ อาจเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัวได้
คนที่ผ่าตัดไส้ติ่ง ให้ใช้น้ำสวนท้องแค่ 800-1,000 ซี.ซี.
คนที่ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ จะมากหรือน้อย โดยเฉพาะผู้ตัดลำไส้ใหญ่และทำรูถ่ายหน้าท้อง ไม่แนะนำให้ทำดีท็อกซ์สวนทวาร
คนที่เป็นริดสีดวงทวาร ต้องใช้เจลทาที่ทวารหนักและปลายสายยางให้มากกว่าปกติ และ หากมีบาดแผลที่ทวารหนักไม่ควรทำดีท็อกซ์
ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต โรคปอด โรคลมบ้าหมู (ลมชัก) ตกเลือด และ ท้องเสียอย่างรุนแรง ไม่ควรอบสมุนไพร (ซาวน่า) ล้างพิษ
คราวนี้มาดูกันว่า ใครบ้างที่จำเป็นต้องทำการล้างสารพิษหรือดีท๊อกซ์
ใครก็ตามที่มีปัญหาหรืออาการไม่ปกติต่างๆเหล่านี้เรื้อรังเป็นระยะเวลานาน การทำดีท๊อกซ์จะช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านี้หรืออาจหายจากอาการได้ในบางราย
มีการทำงานของตับผิดปกติ เนื่องจาก : แอลกอฮอล์, นิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกโภชนาการ มีความเครียดสูง สัมผัสสารเคมีในที่ทำงาน, และไวรัสตับอักเสบ ปวดข้อต่อและกล้ามเนื้อ ไวต่อการติดเชื้อต่างๆได้ง่าย มีภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท หรือ นอนหลับแบบไม่มีคุณภาพหรือหลับแต่รู้สึกเหมือนนอนไม่พอ ปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ และคอ
มีแผลร้อนใน ในปากเป็นประจำ และระบบเผาผลาญทำงานได้น้อย ทำให้ร่างกายอ้วน อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม ประสาทตึงเครียด ร่างกายไม่แข็งแรง หน้าตาหมองคล้ำ ผิวพรรณหยาบกร้าน ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก หรือถ่ายไม่ออก เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อย
ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำตลอดเวลา เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อตามกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์ มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ เป็นริดสีดวงทวาร ฯลฯ
หรือเอาง่ายๆครับ หากคุณมีอาการเหล่านี้เกิน 5 ข้อ คุณควร “ล้างพิษ” ในลำไส้
ได้แล้วครับ
ปวดเมื่อยตามข้อต่อ เชื่องซึม
นอนหลับยาก เป็นสิวมาก
ชอบกินเนื้อสัตว์ ชอบกินขนมหวาน
กลิ่นตัวแรง จุกเสียดแน่นเฟ้อบ่อยๆ
มีอาการปวดมึนศีรษะ อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย
กินผักผลไม้น้อย ท้องผูกเป็นประจำ
ชอบกินของทอด,ของมัน ชอบกินนม-เนย
ติดชา กาแฟ ท้องเสียง่าย
ผิวแห้ง หยาบกร้าน หมองคล้ำ เครียดบ่อย อารมณ์เสียง่าย
อ้วนหรือผอมเกินไป ผายลมบ่อย
ติดน้ำอัดลม เป็นไข้และเป็นหวัดบ่อย
แล้วควรทำบ่อยแค่ไหน
ผมเคยย้ำเรื่องสมดุลของร่างกายอยู่บ่อยครั้งคงจะจำกันได้นะครับ ความพอดีเป็นประโยชน์เสมอครับ
สิ่งที่ควรทำทุกวัน
การใช้ เอ็นไซม์ และอาหาร (กินเพื่อล้างพิษ และปรับสมดุล)
สิ่งที่ควรทำทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
การออกกำลัง กายบริหาร
การฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ
การฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษ
สิ่งที่ทำได้สัปดาห์ละครั้งหรือเมื่อเกิดอาการ
การสวนทวาร
การอบไอน้ำ อบซาวน่า การอบสมุนไพร การนวด
คำเตือนที่ควรทราบ
การสวนลำไส้ ถ้าบ่อยครั้งจะทำให้สูญเสียจุลชีพที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจะทำให้เป็นคนที่ท้องผูกอย่างถาวร
กระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าสวนทวารหนักล้างพิษ
การสวนทวารหนักด้วยน้ำเกลือ กาแฟ หวังล้างพิษออกจากร่างกายทำให้ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ โรคไต ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์เท่านั้น นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีคนนิยมสวนทวารหนักโดยใช้น้ำ น้ำเกลือ น้ำกาแฟ หวังผลเพื่อรักษาโรคและล้างพิษออกจากร่างกาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีข้อควรระวัง โดยเฉพาะคนที่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ หากใส่น้ำหรือของเหลวที่มีความดันเข้าไปทางทวารหนักจะเกิดความระคายเคืองผิวลำไส้ที่บางอยู่แล้ว อาจโป่งพองถึงขั้นแตกได้ สำหรับผู้ที่เป็นโรคไต กรณีใช้น้ำเกลือ กาแฟสวนทวาร การรับน้ำหรือเกลือมากเกินไปมีผลต่ออวัยวะ ผิวสัมผัสของลำไส้ใหญ่ ทั้งนี้ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย เมื่อสวนน้ำเกลือ กาเฟอีน และผ่านการดูดซึมของลำไส้ใหญ่บางคนที่ไวต่อเกลือ และกาเฟอีนอาจเป็นอันตรายได้
ตามหลักทางการแพทย์การสวนทวารหนักก่อนอื่นแพทย์ต้องตรวจลำไส้ว่า มีความผิดปกติหรือไม่ แพทย์จึงสวนทวารหนักเพื่อขับถ่ายสิ่งที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ออก นอกจากนั้นยังใช้การสวนทวารหนักเพื่อรักษาภาวะลำไส้กลืนกันหรือซ้อนทับสวมกัน ค่อยๆ ดึงลำไส้ให้อยู่ในตำแหน่งปกติ รวมทั้งการสวนทวารหนักในกรณีที่ท้องผูก
จำเป็นต้องสวนทวารหนักหรือไม่ ที่สำคัญคนที่สวนต้องมีความรู้ความชำนาญ ไม่ใช่ใครก็สวนได้ เพราะลำไส้เหมือนลูกโป่ง หากเป่าลมเข้าไปมากลูกโป่งอาจแตกได้ เพราะน้ำมีแรงดัน หากน้ำที่ไหลเข้ามีแรงดันสูงก็เป็นอันตรายได้ ยกตัวอย่างมีผู้สวนทวารหนักด้วยกาแฟ เผชิญน้ำร้อนเกินไปทำให้ลำไส้พองอักเสบ จนต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน สำหรับคนที่เป็นไส้ติ่ง ลำไส้อักเสบ ลำไส้อุดตัน พังผืดรัดลำไส้ มะเร็งลำไส้ ไม่ควรสวนทวารหนัก เพราะทำให้ลำไส้ระบมจากอุณหภูมิของน้ำที่ร้อนหรือเย็นเกินไป ลำไส้ระคายเนื่องจากน้ำยาหรือสารเคมีที่ใช้สวน ไม่รู้ความเข้มข้น ไม่รู้ว่าจะสวนถี่แค่ไหน ลำไส้ระเบิดจากแรงดันน้ำมากจนทำให้ลำไส้ขยายตัว สิ่งเหล่านี้เป็นข้อควรระวังก่อนจะสวนทวารหนักสวนล้างลำไส้ ถ้าต้องการให้ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องสวนทวารหนักล้างพิษ ควรกินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ งดอาหารไขมันสูง หมั่นออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาด เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ทุกคนควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องอืด แน่นท้อง แนะนำให้พบแพทย์ทางเดินอาหารโดยตรง
การสวนล้างลำไส้ใหญ่
ปัจจุบันประชาชนและสังคมมีความกระตือรือร้นและสนใจเรื่องการสวนล้างลำไส้ใหญ่เป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันมีการโฆษณาและชักชวนให้มีการทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่กันอย่างแพร่หลายในสื่อต่างๆ มีการกล่าวอ้างถึงคุณประโยชน์มากมายหลายประการ อีกทั้งมีความหลากหลายของกรรมวิธีในการสวนล้างที่แตกต่างกันในแต่ละสถาบันหรือสถานบริการ ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าคำโฆษณากล่าวอ้างเหล่านั้นเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด มีคุณประโยชน์หรือโทษและอันตรายหรือไม่
หากต้องการจะทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาทางการแพทย์ควรจะต้องทำอย่างไร
สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทยเห็นความสำคัญในเรื่องนี้จึงขอชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ และทราบถึงคุณประโยชน์และโทษที่แท้จริงตามหลักวิชา ทางการแพทย์ของการสวนล้างลำไส้ใหญ่ที่ถูกต้อง โดยมีประเด็นที่ต้องการชี้แจงดังต่อไปนี้
๑. ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน การสวนล้างลำไส้ใหญ่มีข้อบ่งชี้ในโรคหรือสภาวะต่อไปนี้ คือ
ก. การเตรียมลำไส้ใหญ่เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษา เช่น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ การเอกซเรย์ดูลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนแป้ง การเตรียมลำไส้ใหญ่เพื่อการผ่าตัดลำไส้
ข. การบรรเทาอาการท้องผูกที่ไม่ตอบสนองต่อยาระบายหรือยาถ่ายตามที่แพทย์สั่ง
ค. การรักษาภาวะตับวายเรื้อรังหรือเฉียบพลัน
๒. ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่หนักแน่น หรือเชื่อถือได้เพียงพอที่จะยืนยันว่าการสวนล้างลำไส้ใหญ่ สามารถรักษาโรคหรือสภาวะต่อไปนี้ เช่น โรคอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคปวดศีรษะ โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันเลือดสูง โรคมะเร็ง โรคปวดข้อ โรครูมาตอยด์ โรคหอบหืด โรคปวดหลัง โรคมีกลิ่นในปากหรือในลมหายใจ โรคท้องอืด อาหารไม่ย่อย เรอบ่อย โรคลำไส้แปรปรวน โรคลิ้นเป็นฝ้า โรคพยาธิลำไส้ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง โรคตับอักเสบจากไขมันแทรกในตับ โรคไข้เรื้อรัง โรคสารพิษจากนิโคติน นอนไม่หลับ โรคทางจิต ขาดความตั้งใจ โรคผิวหนัง เป็นต้น
๓. การสวนล้างลำไส้ใหญ่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันแต่ละครั้งจะใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือประมาณ ๑-๒ ลิตรเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้น้ำหรือน้ำเกลือปริมาณมากๆ เพราะการใช้ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตราย เช่น ทำให้ระดับเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจหรือโรคไตบางราย
๔. การสวนล้างลำไส้ทางการแพทย์จะกระทำเป็นครั้งคราว เป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่มีการแนะนำให้ทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ หลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหรือหลายปี
๕. การสวนล้างลำไส้ใหญ่ทางการแพทย์ที่มีข้อบ่งชี้ ที่ชัดเจนและกระทำอย่างถูกต้องและระมัดระวังเป็นวิธีที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานถึงภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการสวนล้างลำไส้ใหญ่ได้ เช่น ท้องเดิน ลำไส้ใหญ่ทะลุ ระดับเกลือแร่ในร่างกายสูงหรือต่ำผิดปกติ ภาวะน้ำเกินในร่างกาย ภาวะซึม หัวใจล้มเหลว หรือน้ำท่วมปอด นอกจากนี้ยังมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตหลายรายจากการสวนล้างลำไส้ด้วย
๖. การใช้สารเคมีหรือสารอื่นๆ เช่น น้ำร้อน น้ำผึ้ง น้ำยา สุรา เบียร์ กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น ในการสวนล้างลำไส้ใหญ่อาจทำให้เกิดอันตรายหรือเกิดลำไส้ใหญ่อักเสบได้ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ว่าการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์ดีกว่าการสวนด้วยน้ำหรือน้ำเกลือ และยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ว่า การสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟในคนมีประโยชน์ในการทำลายสารพิษ
๗. การสวนล้างลำไส้ใหญ่อาจทำให้เกิดความรู้สึกสบายขึ้นได้ เป็นเวลาเพียงสั้นๆ ชั่วคราว แต่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ ว่าการสวนล้างลำไส้ใหญ่จะสามารถรักษาโรคให้หายได้
๘. การสวนล้างลำไส้ควรทำภายใต้การกำกับของแพทย์ และ/หรือพยาบาลเท่านั้น ไม่ควรทำเองหรือให้คนที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ทำให้
นี่เป็นความห่วงใยประชาชนของกระทรวงสาธารณะสุขไทย ผมเลยอยากให้ทุกท่านศึกษาในทุกแง่มุม แล้ววิปัสสนาด้วยตัวท่านเองครับ
ยังมีอีกครับเราเรียกกันว่า การดีท๊อกซ์อวัยวะ (Organ Detoxes)
เป็นการดีท๊อกซ์อวัยวะส่วนต่างๆ เช่น การล้างพิษที่ตับ ไต ลำไส้ หรือ ปอด ซึ่งจะมีเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงไปที่การทำความสะอาดและขจัดสิ่งตกค้างหรือสารพิษรวมทั้งการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะที่ได้รับการดีท๊อกซ์อย่างเฉพาะเจาะจง
การทำความสะอาดลำไส้
- แม้ว่าโดยภาพรวมของคนคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนมีน้ำหนักตัวที่ปกติ แต่ในความเป็นจริงร่างกายอาจะแบกรับของเสียและสารพิษไว้ที่ลำไส้ใหญ่ได้ถึง 4-10 กิโล การทำความสะอาดลำไส้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปเพราะเราต่างรู้ดีว่ามีปัจจัยต่างๆมากมายที่นำของเสียและสารพิษเข้าสู่ร่างกายและเก็บสะสมอยู่มาเป็นเวลานานไม่ว่าจะเป็นนิสัยการกินที่กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษอยู่ในปัจจุบัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เข้าสู่ร่างกายและนำมาซึ่ง สารที่เป็นพิษ หรือ เชื้อแบคทีเรีย หรือ พยาธิ ซึ่งจะแพร่กระจายอยู่ทั่วร่างกายและส่งผลทำให้เกิดความเจ็บป่วยในรูปแบบต่างๆ ร่างกายของคนเราไม่ได้ถูกออกแบบหรือสร้างมาเพื่อกำจัดหรือขับสารพิษต่างๆเช่น สารพิษที่มากับอาหารแปรรูป สารคาเฟอีน, สารนิโคติน, เครื่องดื่มอัดลมและมลพิษทางอากาศได้ การล้างลำไส้ใหญ่จะช่วยเพิ่มพลังงานโดยรวมให้กับร่างกาย ผิวพรรณสดใสขึ้น ระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการย่อยอาหารและการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งน้ำหนักตัวอาจลดลงภายหลังการล้างลำไส้ด้วย
สำหรับการสวนล้างลำไส้ถ้ารู้สึกว่าอยากทำมากเสียจนใครห้ามก็ไม่ฟัง ผมแนะนำการสวนด้วยกาแฟบริสุทธิด้วยเหตุผลดังนี้ครับ
การสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ
การสวนด้วยกาแฟ (coffee enema) เป็นการล้างลำไส้ในส่วนต้น เนื่องจากในกาแฟประกอบด้วยสารคาเฟอีน ทีโอไฟลีน ทีโอโบรมีนซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของจิตใจเกิดการคลายตัว ส่งผลทำให้หลอดเลือดและท่อน้ำดีขยายตัว สำหรับผลของกาแฟต่อร่างกาย ที่เกิดจากการดื่มกาแฟ นั้นแตกต่างจากการสวนลำไส้ด้วยกาแฟ เนื่องจากเส้นเลือดดำบริเวณลำไส้ใหญ่และทวารนั้นอยู่ไม่ลึกจากผิว ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมคาเฟอีนจากกาแฟในขณะสวนล้างลำไส้ได้อย่างรวดเร็ว (และเป็นกาแฟที่มีความเข้มข้นมากกว่าด้วย)
• การทำความสะอาดไต
หน้าที่หลักของไตคือการกรองเลือดและจัดการควบคุมระบบการกำจัดของเสีย ไตของเราทำงานหนักมากในการกรองเอาของเสียและสารพิษออกจากเลือด การทำความสะอาดไตมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความสะอาดท่อไตและเนื้อเยื่อไตให้สะอาดปราศจากสารแปลกปลอมที่สะสมอยู่ในร่างกายมานานอันมีสาเหตุมาจากความด้อยประสิทธิภาพในการขับถ่ายสารพิษและของเสียโดยกระบวนการขับถ่ายตามปกติของร่างกาย ไตเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญมากของระบบกำจัดของเสียของร่างกาย ความผิดปกติของไตจึงเป็นสาเหตุหลักที่สำคัญของโรคที่พบบ่อยมากที่สุดได้แก่ โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
• การทำความสะอาดตับ
ตับทำหน้าที่ช่วยในการล้างพิษในร่างกาย ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองรองจากผิวหนัง และเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดสำหรับการเผาผลาญสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และฮอร์โมน นอกเหนือจากหน้าที่ในการการสังเคราะห์โปรตีนและการควบคุมระบบน้ำดีภายในตับ ตับยังเป็นตัวเก็บสะสมวิตามินและแร่ธาตุ ตัวกรองสิ่งสกปรกและวัสดุที่เป็นพิษออกจากเลือด หากตับเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว มันต้องใช้เวลานานในการที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ และอาการของผู้มีปัญหาเกี่ยวกับตับมักสังเกตได้จากสีของผิวหนังและดวงตาที่จะเปลี่ยนเป็นสีออกเหลืองๆ การทำความสะอาดตับถูกออกแบบมาเพื่อการกำจัดไขมันที่สร้างขึ้นในถุงน้ำดีและตับซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งกักเก็บแบคทีเรียและเชื้อราและทำให้ตับทำงานด้อยประสิทธิภาพลง นอกจากนี้การทำความสะอาดตับยังช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และช่วยล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในตับ
• การทำความสะอาดปอด
ทำหน้าที่ในการนำออกซิเจนไปยังเลือด โภชนาการที่ไม่ดีประกอบกับสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ การหายใจที่ไม่ถูกวิธี หายใจไม่เต็มปอด และการสูบบุหรี่ เหล่านี้ทำให้ปอดของเรามีประสิทธิภาพน้อยลง การได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ สมุนไพร และโดยการเรียนรู้เทคนิคการหายใจของเราที่มีประสิทธิภาพสามารถทำความสะอาดปอดเพื่อให้ปอดทำงานดีขึ้น
สำหรับ การดีท๊อกซ์อวัยวะ (Organ Detoxes) ผมแนะนำการดีท๊อกซ์แบบโภชนบำบัด (Detox diets)ซึ่งปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมากซึ่งต้องจัดโปรแกรมอาหารและสารอาหารที่จำเป็น และถ้าเขียนไว้ในที่นี้คงยาวน่าดู แต่ถ้าใครปรารถนาจะได้ก็ขอมาครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น