ใครที่มีปัญหาเหล่านี้ อ่านให้เข้าใจครับ อ่านจนจินตนาการแล้วเห็นภาพ แล้วหาวิธีแก้หรือป้องกันเพราะไม่มียาตัวใดรักษาท่านให้หายได้โดยไม่ก่อโรคใหม่ให้ท่านอีกบาน และผมยังยืนยันว่าเราๆท่านๆนี่แหละคือหมอที่ดีที่สุดในโลก
ความอ้วนที่ไขมันสะสมหน้าท้อง
มีไขมันชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์สูง
ความดันโลหิตสูง
น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูง
ไขมันชนิดดี (high-density lipoprotein; HDL) ต่ำ
มีไขมันชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์สูง
ความดันโลหิตสูง
น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูง
ไขมันชนิดดี (high-density lipoprotein; HDL) ต่ำ
ความเครียด
ทำให้เกิดกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก (metabolic syndrome) ประมาณ 3-5 ลักษณะ ได้แก่ ความอ้วนที่ไขมันสะสมหน้าท้อง มีไขมันชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูง ไขมันชนิดดี (high-density lipoprotein; HDL) ต่ำ แม้ว่าปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการ ทางเมตาบอลิกจะเกิดจากกรรมพันธุ์และสภาวะของร่างกาย แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่นรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมสมัยใหม่ การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ การเคลื่อนไหวร่างกายลดลง ความดันโลหิตสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดมากขึ้น การมีความเครียดจนเกิดภาวะซึมเศร้า จากสิ่งแวดล้อมหรือการทำงานมีความสัมพันธ์ต่อการเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโคสเตอโรนซึ่งกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและฮอร์โมนอื่นๆ ทำให้เกิดสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง และภาวะดื้อต่ออินซูลิน
กลุ่มอาการทางเมตาบอลิก
ผู้ที่มีภาวะของกลุ่มอาการทางเมตา-บอลิกจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2และโรคหัวใจและหลอดเลือด (atherosclerotic cardio-vascular disease)
สาเหตุของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก ได้แก่ การรับประทานอาหารประเภทไขมันมากเกินไป ภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) โรคของต่อมไทรอยด์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งภาวะเครียด (stress)
ปัจจัยเสี่ยง
นอกจากปัจจัยด้านพันธุกรรมแล้ว ยังพบปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ ของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก ได้แก่
1. โภชนาการและความอ้วน
อาหารประเภทไขมัน คาร์โบไฮเดรต และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายถ้ามีปริมาณ
เกินกว่าที่ร่างกายต้องการจะสะสมไว้ในรูปแบบของไขมันซึ่งทั้งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสามารถ
เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้เช่นเดียวกับอาหารประเภทไขมันรายงานการศึกษาเปรียบเทียบการรับประทานอาหารประเภทต่างๆกับการเกิดภาวะของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก พบว่า อาหารประเภทที่มีเส้นใยอาหาร ปลา ผักและผลไม้ มีความสัมพันธ์ในทางลบกับขนาดเส้นรอบวงของเอว ปริมาณไขมันไตรกลี-เซอร์ไรด์
เกินกว่าที่ร่างกายต้องการจะสะสมไว้ในรูปแบบของไขมันซึ่งทั้งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสามารถ
เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้เช่นเดียวกับอาหารประเภทไขมันรายงานการศึกษาเปรียบเทียบการรับประทานอาหารประเภทต่างๆกับการเกิดภาวะของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก พบว่า อาหารประเภทที่มีเส้นใยอาหาร ปลา ผักและผลไม้ มีความสัมพันธ์ในทางลบกับขนาดเส้นรอบวงของเอว ปริมาณไขมันไตรกลี-เซอร์ไรด์
มีรายงานวิจัยความสัมพันธ์ของรีซิสตินกับโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน พบว่าเนื้อเยื่อไขมันจะมีการผลิตและหลั่งรีซิสติน ซึ่งเป็นโปรตีนฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของอินซูลิน โดยรีซิสตินจะถูกหลั่งมากขึ้น ถ้ามีการเพิ่มปริมาณไขมันที่สะสมในร่างกายมากขึ้นโดยเฉพาะไขมันที่เก็บสะสมบริเวณหน้าท้อง ซึ่งพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างรีซิสตินกับปริมาณเนื้อเยื่อไขมันในร่างกาย อย่างไรก็ตามระดับของรีซิสติน มีความสัมพันธ์กับความอ้วน โดยมีบทบาทกระตุ้นให้
ระดับอินซูลิน ระดับกลูโคส และระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น
ระดับอินซูลิน ระดับกลูโคส และระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น
นอกจากนี้ภาวะไขมันสะสมที่หน้าท้องมีความเกี่ยวข้องกับภาวะดื้อต่ออินซูลินและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากลุ่มอาการทางเมตาบอลิกยังพบร่วมกับภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งส่วนใหญ่สะสมอยู่ในรูปของไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ปกติผู้ที่ดื่มสุรามานานจะมีการสะสมของเซลล์ไขมันในตับแต่อาจพบได้ ในผู้ที่ไม่ได้ดื่มสุรา ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) เซลล์ไขมันนี้จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือการอักเสบของตับในระยะแรก แต่ก็มีผู้ป่วยบางส่วนที่ไขมันเหล่านี้ ทำให้เกิดการอักเสบของตับได้ภายหลัง เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า non-alcoholic steatohepatitis (NASH)
ในที่สุดก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งพบว่าร้อยละ 5-8 ของผู้ป่วยไขมันสะสมในตับจะกลายเป็นตับอักเสบและตับแข็ง14 โดยมีรายงานว่าภาวะ oxidative stress มีส่วนทำให้เกิดการอักเสบของตับ
ในที่สุดก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งพบว่าร้อยละ 5-8 ของผู้ป่วยไขมันสะสมในตับจะกลายเป็นตับอักเสบและตับแข็ง14 โดยมีรายงานว่าภาวะ oxidative stress มีส่วนทำให้เกิดการอักเสบของตับ
2. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
มีการศึกษาความสัมพันธ์ของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก พบว่าปริมาณแอลกอฮอล์มีสัดส่วนผกผันกับปริมาณ
ของ high-density lipoprotein (HDL) cholesterol และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักขนาด ≥30 กรัมต่อวัน มีความสัมพันธ์ต่อการเพิ่มความดันโลหิต และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเพศชาย เพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดขณะอดอาหาร (fasting blood sugar; FBS) และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเพศหญิง
การศึกษาแบบตามผลไปข้างหน้า (prospective study) พบว่าการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก
ของ high-density lipoprotein (HDL) cholesterol และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักขนาด ≥30 กรัมต่อวัน มีความสัมพันธ์ต่อการเพิ่มความดันโลหิต และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเพศชาย เพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดขณะอดอาหาร (fasting blood sugar; FBS) และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเพศหญิง
การศึกษาแบบตามผลไปข้างหน้า (prospective study) พบว่าการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก
3. โรคของต่อมไร้ท่อและยาบางชนิด
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อเป็นสาเหตุของโรคอ้วนได้ เช่น ต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สร้างฮอร์โมนกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์มากเกินไป ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรค cushing syndrome มีการสะสมไขมันในร่างกาย ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (hypo-thyroidism) ทำให้การเผาผลาญอาหารลดลงมีไขมันสะสมมาก นอกจากนี้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด
ชนิดฉีด และชนิดรับประทาน และการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้มีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น
ชนิดฉีด และชนิดรับประทาน และการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้มีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น
4. ความเครียด (stress)
คือ การตอบสนองของร่างกายต่อที่ปัจจัยอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ปัจจัยใดๆที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด เรียกว่า ตัวกระตุ้นความเครียด (stressor) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยทางร่างกาย เช่น บาดแผลหรือความเจ็บป่วย หรือทางจิตใจ เช่นความวิตกกังวล ความกลัว ความเศร้าเสียใจ ภาวะเศรษฐกิจ ความขัดแย้งต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ตัวกระตุ้นความเครียดที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดการตอบสนองที่จำเพาะต่อตัวกระตุ้นนั้นๆ เช่น การตอบสนองต่อความเย็น คือ อาการหนาวสั่นและ
การหดตัวของหลอดเลือดบริเวณผิวหนัง เพื่อเพิ่มความร้อนและลดการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย
การหดตัวของหลอดเลือดบริเวณผิวหนัง เพื่อเพิ่มความร้อนและลดการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย
ตัวกระตุ้นความเครียดทุกชนิดจะทำให้เกิดการตอบสนองที่มีลักษณะเหมือนๆกัน เรียกว่า general adaptation
syndrome ซึ่งเป็นการตอบสนองที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทและระบบฮอร์โมน คือ
syndrome ซึ่งเป็นการตอบสนองที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทและระบบฮอร์โมน คือ
4.1. มีการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาทิติค (sympathetic nervous system) ซึ่งจะไปกระตุ้นระบบต่างๆในร่างกายเพื่อต่อสู้หรือถอยหนี (fight-or-flight response) โดยไปเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และอัตราการหายใจ มีการหดตัวของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงระบบย่อยอาหารและไต ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบย่อยอาหารและไตลดลง ในขณะที่มีการขยายของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจและกล้ามเนื้อลายให้ได้รับเลือดมากขึ้น เพื่อ
ส่งพลังไปสู่หัวใจและกล้ามเนื้อลายในการต่อสู้หรือถอยหนี
ส่งพลังไปสู่หัวใจและกล้ามเนื้อลายในการต่อสู้หรือถอยหนี
4.2. ฮอร์โมนหลายชนิดเพิ่มระดับสูงขึ้น ได้แก่ การหลั่งฮอร์โมน epinephrine (adrenalin) จากต่อมหมวกไตชั้นใน ซึ่งจะไปเสริมฤทธิ์ของระบบประสาทซิมพาทิติค ในขณะเดียวกันฮอร์โมนเครียด (stress hormone) ในกลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ (gluco-corticoid) ที่สำคัญคือ cortisol จะถูกหลั่งจากต่อมหมวกไตชั้นนอก โดยจะไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เพื่อไปเลี้ยงระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ประสาทสัมผัสเฉียบคมขึ้น เพิ่มพลังการเรียนรู้ การจดจำและตื่นตัวมากขึ้น นอกจากนี้ cortisol ยังไปมีผลทำให้ระดับกรดอะมิโนเพิ่มขึ้นซึ่งจะไปช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บหรือเสียหาย
4.3. การกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหลัง (posterior pituitary gland) ให้หลั่งฮอร์โมน vaso-pressin มีผลทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดแดง ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงไตลดลง จึงเกิดการกระตุ้นระบบ rennin-angiotensin-aldosterone system เป็นผล
ให้มีการเพิ่มการดูดกลับของเกลือและน้ำจากท่อไตรวม(collectingduct)กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดผลคือทำให้ปริมาตรของเลือดในระบบไหลเวียนเพิ่มขึ้นและความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด การเพิ่มการหายใจ อีกทั้งการมีปริมาณเกลือ น้ำ และสารอาหารในร่างกายมากขึ้นจะเป็นประโยชน์ในภาวะที่ตัวกระตุ้นความเครียดเป็นปัจจัยทางกาย แต่พบว่าการกระตุ้นความเครียดในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่เป็นตัวกระตุ้นทางจิตใจ หากมีการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะส่งผลต่อสุขภาพในทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เริ่มที่ระบบหัวใจและหลอดเลือด หากความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำๆ ของเหลวจากกระแสเลือดที่พุ่งแรงเป็นช่วงๆ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผนังหลอดเลือดร่วมกับ
การมีระดับน้ำตาลกลูโคส ไขมัน และคอเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะไปเกาะติดกับบริเวณหลอดเลือดที่มีปัญหานั้น ทำให้เพิ่มโอกาสในการก่อตัวของคราบหินปูนที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดได้
ให้มีการเพิ่มการดูดกลับของเกลือและน้ำจากท่อไตรวม(collectingduct)กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดผลคือทำให้ปริมาตรของเลือดในระบบไหลเวียนเพิ่มขึ้นและความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด การเพิ่มการหายใจ อีกทั้งการมีปริมาณเกลือ น้ำ และสารอาหารในร่างกายมากขึ้นจะเป็นประโยชน์ในภาวะที่ตัวกระตุ้นความเครียดเป็นปัจจัยทางกาย แต่พบว่าการกระตุ้นความเครียดในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่เป็นตัวกระตุ้นทางจิตใจ หากมีการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะส่งผลต่อสุขภาพในทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เริ่มที่ระบบหัวใจและหลอดเลือด หากความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำๆ ของเหลวจากกระแสเลือดที่พุ่งแรงเป็นช่วงๆ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผนังหลอดเลือดร่วมกับ
การมีระดับน้ำตาลกลูโคส ไขมัน และคอเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะไปเกาะติดกับบริเวณหลอดเลือดที่มีปัญหานั้น ทำให้เพิ่มโอกาสในการก่อตัวของคราบหินปูนที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดได้
4.4. ความเครียดเรื้อรัง ทำให้ระดับของน้ำตาลในกระแสเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้มีไขมันและกลูโคสเหลืออยู่ในกระแสเลือดมากขึ้น จึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานในวัยผู้ใหญ่อีกด้วย ในขณะที่ฮอร์โมนเครียดทำให้เกิดการตื่นตัวในช่วงแรกของการตอบสนองต่อความเครียด ระดับความเครียดที่มากและเรื้อรังกลับมีผลในทางตรงกันข้าม โดยจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการวิตกกังวล เนื่องจาก cortisol จะไปกระตุ้นให้เซลล์ประสาทในสมองส่วนอะมิกดาลา (amygdala) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความกลัวและวิตกกังวลทำงานมากขึ้น (hyperexcitability) ขณะเดียวกันเซลล์ประสาทในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความทรงจำ และในเปลือกสมองส่วนหน้า
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจจะฝ่อเล็กลง (atrophy) ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้และการตัดสินใจจึงเลวลง นอกจากนี้พบว่าความเข้มข้นของสารสื่อประสาทชนิด dopamine ในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสุขจะลดลงด้วย ทำให้เสี่ยงต่ออาการซึมเศร้า
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจจะฝ่อเล็กลง (atrophy) ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้และการตัดสินใจจึงเลวลง นอกจากนี้พบว่าความเข้มข้นของสารสื่อประสาทชนิด dopamine ในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสุขจะลดลงด้วย ทำให้เสี่ยงต่ออาการซึมเศร้า
มีรายงานความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดจากการทำงานกับกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก พบว่าผู้ที่มีความเครียดจากงานมีโอกาสเป็น metabolic syndrome 2 เท่า ของผู้ที่ไม่มีภาวะเครียด โดยผู้ที่มีความเครียดสะสมมากกว่าจะมีความเสี่ยงต่อโรคมากกว่า
เมื่ออ่านจนนึกภาพออกแล้ว ก็ให้จินตนาการดูว่าจะระงับเหตุกันอย่างไร วางแผนให้กับร่างกายจะได้ใช้แบบดี ๆ ไปนาน ๆ นะครับ และถ้านึกไม่ออกก็ถามมา ไม่มีปัญหาครับ ก่อนลาก็ขอให้ทุกคนทุกท่านมีสุขภาพดีครับ สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น