วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำไมปัญหามะเร็งเต้านมจึงเพิ่มขึ้น

10 Jun 2017
ตอน ทำไมปัญหามะเร็งเต้านมจึงเพิ่มขึ้น
การเปิดเผยข้อมูลใหม่จากองค์กรการกุศล Cancer Research UK รายงานว่า..สตรีจำนวนมากที่อายุต่ำกว่า 50 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม ในครั้งแรกผู้หญิงมากกว่า 10,000 คนที่อายุต่ำกว่า 50 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึ่งแปลว่าผู้หญิงทุกๆ 1 ใน 5 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม ข่าวดังกล่าวมาจากการศึกษาของ JAMA ที่เผยแพร่เมื่อต้นปีซึ่งพบว่าจำนวนหญิงสาว (อายุ 25-39 ปี) ในสหรัฐอเมริกาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมในขั้นสูงเพิ่มขึ้น(1)
โดยปกติแล้วโรคมะเร็งมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเมื่อคุณมีอายุสูงขึ้น….BreastCancer.org ระบุว่า: (2) "... กระบวนการชราภาพเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับมะเร็งเต้านมนั่นเป็นเพราะเวลาที่เราอยู่ต่อนานขึ้นก็มีโอกาสเกิดความเสียหายทางพันธุกรรมมากขึ้น (การกลายพันธุ์) ในร่างกายและเมื่อเราสูงอายุ ร่างกายของเราก็ไม่สามารถแก้ไขความเสียหายทางพันธุกรรมได้ "
!! แล้วเหตุใดกันเล่าที่เป็นเหตุให้สตรีที่มีอายุน้อยจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากโรคร้ายแรงนี้
สาเหตุของมะเร็งเต้านมในหญิงสาวคืออะไร!!
ไม่มีใครรู้ได้อย่างแน่ชัดแต่ก็ค่อนข้างจะปลอดภัยที่จะกล่าวว่า ส่วนร่วมในการก่อโรคส่วนใหญ่มาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การวิจัยโรคมะเร็งในสหราชอาณาจักรได้แยกแยะปัจจัยที่มีผลต่อฮอร์โมนเช่นการมีบุตรช้าเกินไป มีบุตรที่น้อยลงหรือใช้ยาคุมกำเนิดน่าเป็นผู้กระทำผิดที่เป็นไปได้
ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล...เนื่องจากในปี 2545 การศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมนที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการออกแบบมาอย่างดีที่สุดต้องหยุดลงเพราะสตรีที่ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเป็นมะเร็งเต้านม (หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและเลือดเกาะตัว) การศึกษาจึงต้องใคร่ครวญเรื่องการผิดจรรยาบรรณ
ข่าวดังกล่าวถูกพาดหัวหน้าหนึ่งเนื่องจากผู้หญิงหลายล้านคนกำลังได้รับฮอร์โมนสังเคราะห์เหล่านี้และนับว่าเป็นโชคดีที่คนจำนวนมากหยุดใช้มันและสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านไปหนึ่งปีหลังจากที่ผู้หญิงหลายล้านคนเลิกใช้การบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมน- อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 7
เหตุการณ์นี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับยาคุมกำเนิด ..แน่นอนว่ายาคุมกำเนิดมีฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดเดียวกันซึ่งก็คือฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนซึ่งใช้ในการศึกษาที่ล้มเหลวนี้ ผู้หญิงที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดก็ไม่ได้รอดพ้นจากมะเร็งเต้านมมากนักเนื่องจากการสัมผัสกับฮอร์โมนสังเคราะห์ซึ่งกลายเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในทุกวันนี้
ตัวอย่างเช่น Parabens เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและเป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามะเร็งเต้านม Parabens มีการใช้กันอย่างแพร่หลายใน
ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลเช่นแชมพู โลชั่นระงับกลิ่นกาย เจลโกนหนวดและเครื่องสำอางค์
สารเคมีเหล่านี้ถูกตรวจพบในเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านมที่ระดับความเข้มข้นสูงกว่าระดับเอสโตรเจน (estradiol) ที่พบในเนื้อเยื่อของเต้านมของมนุษย์ถึง 1 ล้านเท่า (3)ส่วน Propylparaben ถูกพบในบริเวณใต้วงแขนมากที่สุดเพราะมันเป็นที่ ๆ มีการใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายใต้วงแขนมากที่สุดและความชุกของมะเร็งเต้านมต่อการใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายสูงมาก
เห็นได้ชัดว่าสารเคมีเหล่านี้สะสมอยู่ได้ด้วยความเข้มข้นที่สูงอย่างน่าตื่นตระหนกเนื่องจากมีการใช้งานประจำวันอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง และการสัมผัสมักเริ่มขึ้นในช่วงแรกรุ่นซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
!! ความเสี่ยงมะเร็งเต้านมอีกตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใน..นม ...
ไม่เพียงแค่เด็ก ๆ และหญิงสาวที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่เลียนแบบฮอร์โมนในผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคลแต่สารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งเช่นนี้อาจพบได้ในอาหารหลักที่เกี่ยวข้องกับนม
RBGH (recombinant bovine growth hormone) หรือฮอร์โมนการเติบโตของวัว เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่เลียนแบบฮอร์โมนตามธรรมชาติของวัวที่สร้างขึ้นในต่อมใต้สมองของวัว (BST) ..ฮอร์โมนสังเคราะห์นี้ขายดีที่สุดในสหรัฐฯและในประเทศที่มีการส่งเสริมการดื่มนมวัวโดยมีการฉีดให้วัวเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำนม แต่มันถูกห้ามใช้ในแคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และใน 27 ประเทศของสหภาพยุโรปเนื่องจากเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
นมที่ได้จากการใช้ RBGH จะมีระดับ insulin growth factor-1 (IGF-1)เพิ่มขึ้น : IGF-1 ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ การแบ่งตัวของเซลล์ที่ทำให้เด็ก ๆ ตัวโตและสูงแต่มันยังมีความสามารถในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะที่ห่างไกล (invasiveness) กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า IGF-1 มีผลต่อการกระตุ้นการเจริญเติบโตที่มีประสิทธิภาพในเนื้อเยื่อของเต้านมมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มการปรากฏตัวของ estradiol (รูปแบบของเอสโตรเจน) ปัจจัยการเจริญเติบโตในรูปแบบเช่น IGF-1 เป็น”ตัวเร่งปฏิกิริยา”สำหรับการเปลี่ยนเนื้อเยื่อเต้านมปกติไปเป็นเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านมและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์
การศึกษาหนึ่งพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับ IGF-1 เพิ่มสูงขึ้นถึง 7 เท่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น(4) และการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงอายุน้อยกว่า 35 ปีที่มี IGF-1 เพิ่มขึ้นมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมที่รุนแรงมากขึ้น (5)
เนื้อเยื่อเต้านมและเนื้อเยื่อของทารกมีความไวต่อฮอร์โมนและสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งเป็นอย่างมาก ทารกและเด็กเล็กที่มีระดับ IGF-1 สูงในช่วงต้นอาจกลายเป็น "เบาหวาน" ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในชีวิตเช่นการขยายขนาดของเต้านมในวัยเด็กและวัยแรกรุ่นและรวมไปถึงมะเร็งเต้านมในวัยผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีความเสี่ยงสูงต่อเด็ก ในหลายโรงเรียนก็ยังมีนมที่ไม่ปลอดจาก RBGH เหตุเพราะรัฐบาลส่วนใหญ่ของเกือบทุกประเทศยังมีโครงการอาหารที่มีราคาต่ำ
!! สารพิษและความบกพร่องด้านโภชนาการคือผู้อยู่เบื้องหลังคดีมะเร็งเต้านม
สาเหตุหลักของโรคมะเร็งเต้านม – การขาดสารอาหาร การสัมผัสกับความเป็นพิษ การอักเสบการครอบงำของฮอร์โมนเอสโตรเจนและการล่มสลายของความสมบูรณ์แบบทางพันธุกรรมส่วนการเฝ้าระวังด้านภูมิคุ้มกันยังคงเป็นหลักใหญ่ในหมู่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นพิษกำลังโจมตีคนรุ่นใหม่ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของพวกเขา
!! กลยุทธ์ในการป้องกันมะเร็งเต้านม
การตรวจคัดกรองมะเร็งไม่ถือว่าเป็นการป้องกันโรคมะเร็งและถึงแม้ว่าการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญ การใช้วิธีการตรวจคัดกรองที่ใช้รังสีเพิ่มขึ้นเท่ากับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
ในการทบทวนการวิจัยเกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตและมะเร็งเต้านม สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Institute of Cancer Research) คาดว่าประมาณร้อยละ 40 ของกรณีมะเร็งเต้านมในสหรัฐฯจะสามารถป้องกันได้หากผู้คนเลือกวิถีชีวิตที่ชาญฉลาด (8) แต่ผมเชื่อว่าการประมาณการนี้ต่ำเกินไป ในความเป็นจริงร้อยละ 75 ถึงร้อยละ 90 ของมะเร็งเต้านมสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการใช้คำแนะนำด้านล่างนี้อย่างเคร่งครัดซึ่งใช้ได้เหมือนกันสำหรับหญิงสาวและสตรีที่มีอายุมากกว่า
-หลีกเลี่ยงน้ำตาลโดยเฉพาะฟรักโทส : น้ำตาลทุกรูปแบบเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยทั่วไปและส่งเสริมมะเร็ง อย่างไรก็ตามฟรักโตสเป็นสารที่อันตรายที่สุดและควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
-เพิ่มวิตามิน D : วิตามินดีมีผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของคุณและเป็นหนึ่งในนักต่อสู้โรคมะเร็งที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการรักษาระดับวิตามินดีของคุณอาจลดความเสี่ยงมะเร็งได้ถึง 77 เปอร์เซ็นต์ วิตามินดีสามารถเข้าไปในเซลล์มะเร็งและกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งได้หากคุณมีโรคมะเร็ง ระดับวิตามินดีควรอยู่ระหว่าง 70 ถึง 100 ng / ml และวิตามินดีทำงานร่วมกับการรักษามะเร็งทุกชนิดโดยไม่มีผลข้างเคียง
โปรดจำไว้ว่า !! ถ้าคุณรับประทานวิตามิน D3 คุณจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณวิตามิน K2 เนื่องจากวิตามินดีจะเพิ่มความต้องการ K2 ในการทำงานอย่างถูกต้อง ดูบทความก่อนหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับวิตามิน K2, D และแคลเซียม
-วิตามินเอตามธรรมชาติ : มีหลักฐานว่าวิตามินเอมีบทบาทในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้ดี(9)และที่ดีที่สุดคือการได้รับวิตามินเอจากอาหารมากกว่าอาหารเสริม แหล่งที่ดีที่สุดของคุณคือไข่แดงอินทรีย์ เนื้อวัวหรือตับไก่
-การนวดหน้าอกช่วยเพิ่มความสามารถทางธรรมชาติของร่างกายในการขจัดสารพิษที่เป็นปัญหาต่อมะเร็ง คุณสามารถได้รับการนวดโดยนักบำบัดโรคที่ได้รับอนุญาตหรือคุณสามารถใช้การนวดต่อมน้ำเหลืองได้ด้วยตนเอง
-หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง ถ่านหรือเปลวไฟมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น
-Acrylamide - สารก่อมะเร็งที่สร้างขึ้นเมื่ออาหารที่เป็นแป้งได้รับการอบ ย่างหรือทอด - ได้รับการตรวจพบว่าเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมเช่นกัน
-หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ไม่หมักหรือไม่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิส : ถั่วเหลืองที่ไม่หมักมี phytoestrogens สูงหรือที่เรียกว่า isoflavones ในการศึกษาพบว่าถั่วเหลืองจะทำงานร่วมกับเอสโตรเจนของมนุษย์เพื่อเพิ่มการขยายตัวของเต้านมซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการกลายพันธุ์และเซลล์มะเร็ง เป็นที่เชื่อกันว่าการหมักได้แปลง phytoestrogens ในถั่วเหลืองเช่น daidzin, glycitin และ genistin เพื่อให้กลายเป็นสารประกอบ phytogestrogenic ที่ใช้งานได้มากขึ้น dadzein, glycitein และ genistein แต่ phytoestrogens เหล่านี้เป็น adaptopgenic และยังสามารถปิดกั้น estrogiol endogenous และ xenobiotic estrogens ซึ่งช่วยลดอันตรายให้น้อยที่สุดในทางทฤษฎี
-ปรับปรุงความไวของตัวรับอินซูลินของคุณ : วิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการหลีกเลี่ยงน้ำตาลและธัญพืชและทำให้แน่ใจว่าคุณกำลังออกกำลังกาย
-รักษาน้ำหนักตัว : สิ่งนี้จะเป็นไปตามธรรมชาติเมื่อคุณเริ่มรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับชนิดของโภชนาการและการออกกำลังกายของคุณ สิ่งสำคัญคือการลดไขมันส่วนเกินเนื่องจากไขมันผลิตเอสโตรเจน
-ดื่มน้ำผักปั่นตามแบบที่ผมได้นำเสนอไว้ในโพสต์ก่อนหน้านี้ทุกวัน
-ได้รับไขมันโอเมก้า 3 ที่มีคุณภาพสูง การขาดโอเมก้า 3 เป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับมะเร็ง
-ขมิ้น : Curcumin คือสารออกฤทธิ์หลักในขมิ้นและในความเข้มข้นสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับ phospholipid เช่น phosphatidyl choline (เลซิติน)หรือพริกไทยดำ- piperine :เป็นสารประกอบที่มีประโยชน์มากในการรักษามะเร็งเต้านม มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายได้อย่างมาก (10) สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า curcumin โดยทั่วไปดูดซึมได้ไม่ดีนักดังนั้นลองผสมกันแล้วดื่มจะดีมากมาย
-หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรืออย่างน้อยก็จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคุณต่อวัน
-เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้นานถึงหกเดือน : การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้
-หลีกเลี่ยงการสวมชุดชั้นในที่มีโลหะเพราะโลหะอาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมของคุณได้
-หลีกเลี่ยงสนามแม่เหล็กไฟฟ้าให้มากที่สุด
-หลีกเลี่ยงการบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์ มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ อัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมสำหรับสตรีเพิ่มขึ้นเมื่อเลิกใช้การทดแทนฮอร์โมน (ดังที่กล่าวมาแล้ว ยาคุมกำเนิดซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์มีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม)
-หลีกเลี่ยง BPA, phthalates และ xenoestrogens อื่น ๆ เหล่านี้เป็นสารประกอบคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงมะเร็งเต้านมที่เพิ่มมากขึ้น
-ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ขาดสารไอโอดีนเพราะมีหลักฐานที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงการขาดสารไอโอดีนกับมะเร็งเต้านม Dr. David Brownstein,(11) ผู้เขียนหนังสือ : Why You Need It, Why You Can't Live Without It ผู้แสดงให้เห็นว่าไอโอดีนดีสำหรับมะเร็งเต้านม มันมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่มีศักยภาพและได้รับการแสดงให้เห็นว่าทำให้เซลล์มะเร็งตายในมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมไทรอยด์
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมผมขอแนะนำให้อ่านหนังสือของ Dr. Brownstein แม้ว่าจะได้อ่านเพียงบางส่วนจากการยืมเพื่อนฝูงมาเป็นเวลาเพียงสั้น ๆ แต่รู้สึกได้ว่าเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างมาก
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณ :

เชื้อรา..ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

14 Jun 2017
ตอน เชื้อรา..ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
Dr. Milton White เชื่อว่า..มะเร็งคือโรคที่มาจากการติดเชื้อราชนิดเรื้อรังเนื่องจากเขาพบสปอร์ของเชื้อราในเนื้อเยื้อของเซลล์มะเร็งทุกเซลล์ที่เขาทำการตรวจสอบและมันเป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้เมื่อคุณมีเชื้อราในลำไส้เล็ก นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่ามะเร็งเหล่านี้มีต้นเหตุมาจากเชื้อราซึ่งก่อการอักเสบเป็นระยะเวลานาน
และที่น่ากังวลก็คือ..เมื่อคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเชื้อรา..ความรู้ทางการแพทย์มักจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อการกำจัดเชื้อราเหล่านั้น..แต่!!..ยาปฏิชีวนะเหล่านั้นกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งชนิดอื่น ๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...
!! สิ่งที่ควรใคร่ครวญก็คือยาปฏิชีวนะเหล่านั้นได้มาอย่างไร..!!
ยาปฏิชีวนะเกือบทุกชนิดได้มาจากเชื้อราเพราะมันคือผลผลิตของเชื้อราหรือ”Mycotoxins”
!!เชื้อราอยู่ในร่างกายได้อย่างไร
-จากการหายใจที่ได้รับสปอร์เห็ดและรา
-จากการกินเชื้อราโดยไม่ทราบว่าเป็นเชื้อรา
-การได้รับการฉีดเชื้อรา
!! อาหารที่ดีของเชื้อรา
คุณคงไม่ทราบว่าเชื้อราชอบของแข็งและกินปรอทเป็นอาหารเช้า..ที่น่ากังวลก็คือปรอทนิยมใช้ในงานด้านทันตกรรมหรือแม้แต่บางอย่างที่เขียนในโพสต์นี้ไม่ได้
!! ย้ำ !! เซลล์มะเร็งและเชื้อราสามารถดำรงชีวิตของพวกเขาได้โดยปราศจากออกซิเจนและทั้งคู่จำเป็นต้องใช้น้ำตาลเพื่อการอยู่รอดนั่นหมายความว่า..พวกเขาจะตายเมื่อขาดน้ำตาล
!!พวกเขาสามารถเจริญเติบโตในร่างกายได้อย่างไร
เชื้อราสามารถเจริญเติบโตได้ดีเมื่อระบบภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่ในการควบคุมเชื้อราอ่อนแอและสิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอคือ หวาน นม เห็ด ผลไม้หวาน ขนมปัง โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ความเครียดและยาปฏิชีวนะ เพราะสิ่งเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกายมันคือการเพิ่มภาระให้กับระบบภูมิต้านทาน ปราศจากภาระเหล่านี้..เชื้อราไม่มีวันได้กล้ำกลายร่างกายของคุณ
!! วิธีแก้แบบง่าย ๆ ราคาถูก...
โซเดียมไบคาร์บอเนตกับการต้านเชื้อราขั้นเทพ
โซเดียมไบคาร์บอเนตเป็นสารตามธรรมชาติที่ปลอดภัยในการต้านเชื้อราและแบคทีเรียเมื่อร่วมกับไอโอดีน ไบคาร์บอเนตช่วยได้แม้ในผู้ป่วยด้านจิตเวช แพ้ภูมิ ภูมิแพ้ เอสแอลอี รูมาตอยด์ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอมเอส แพ้เกสรดอกไม้ แพ้อาหาร ซึ่งส่วนใหม่มักจะมีรากฐานมาจากลำไส้รั่ว เมื่อผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับโซเดียมไบคาร์บอเนตอาการของผู้ป่วยเหล่านี้จะตอบสนองในทิศทางที่ดีเนื่องจากไบคาร์บอเนตมีประสิทธิภาพในการลดยีสต์และลดการกดภูมิต้านทาน
เพียงแค่ใช้..
!! สำหรับผู้ที่ประสงค์จะดูแลสุขภาพ
-มะนาว ครึ่งลูกบีบน้ำ..จากนั้น
-เติมเบคกิ้งโซดาครึ่งช้อนชา..ต่อมา
-เติมเกลือหิมาลัย 1/6 ช้อนชา..และ
-เติมน้ำธรรมดา150 ซีซี ..คนแล้วดื่มก่อนอาหารเช้า 10 นาที
!!สำหรับผู้มีปัญหาตกขาว ทำแบบเดียวกันแต่กินก่อนอาหาร 3 มื้อร่วมกับการกินน้ำมันมะพร้าวตามโพสต์ก่อนหน้านี้
!! สำหรับผู้ป่วยที่กล่าวไว้ในด้านบนของบทความรวมถึงผู้ป่วยมะเร็งสามารถทานได้อีก 4 ครั้งเมื่อสะดวกหรือทุกสองชั่วโมงแต่ไม่เกิน 7 ครั้งในหนึ่งวัน
.........
ไม่แนะนำในผู้ป่วยกรดไหลย้อนและกระเพาะอาหาร !!
ส่วนผสมนี้นอกจากจะช่วยกำจัดเชื้อราแล้วยังเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารอีกด้วย
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณ 

ค่าตับ

29 Jun 2017

เรื่องที่น่าดีใจ คือ
ค่าตับ ๆๆๆๆ กลับมาสู่ภาวะปกติโดยปราศจากสารเคมีที่จะไปส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายต่อไป
-SGOT คือเอนไซม์ที่ประกอบด้วยโปรตีนที่ตับสร้างขึ้น มีค่าปกติอยู่ที่ตัวเลขไม่เกิน 40 mg/dl เอนไซม์ตัวนี้อาจหลั่งสูงกว่าปกติเมื่อตับทำงานผิดปกติอันเกิดจาก เครียดเรื้อรัง พักผ่อนไม่พอจนเกิดอาการอ่อนเพลีย ดื่มสุราจัด โรคโลหิตจางเรื้อรัง ไขมันจับตับ ไขมันและ/หรือน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง มะเร็งตับ โรคดีซ่าน และการใช้ยาบางชนิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เป็น
-SGPT คือเอนไซม์ที่ประกอบด้วยโปรตีนที่ตับสร้างขึ้น มีค่าปกติอยู่ที่ตัวเลขไม่เกิน 40 mg/dl เอนไซม์ตัวนี้อาจหลั่งสูงกว่าปกติเมื่อเกิดอาการผิดปกติขึ้นที่ ตับ หัวใจ ไต กล้ามเนื้อลาย ซึ่งทางการแพทย์สามารถใช้ค่า SGPT ติดตามผลทางพยาธิสภาพที่เปลี่ยนแปลงของอวัยวะเหล่านั้นได้
ในกรณีที่วัดค่า SGOT ปกติแต่ค่า SGPT สูงกว่าปกติอาจวินิจฉัยได้ว่าตับปกติ แต่อาจเกิดอาการผิดปกติขึ้นที่หัวใจ ไต หรือกล้ามเนื้อลายได้
เมื่อตับเกิดโรคมีการทำลาย หรือการอักเสบของเนื้อตับ จะทำให้มีการหลั่งเอนไซม์ SGOT, SGPT ออกมาสู่กระแสเลือดมากขึ้น ทำให้ตรวจพบมีระดับสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งระดับเอนไซม์ SGOT, SGPT จะผิดปกติ ให้พบได้ไวมาก
..............................................
ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่มันคือความจริงและท้ายที่สุด
.............................................
กมฺมุนา วตฺตตี โลโก – สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ใช่ไหม Lingling Limwanuspong

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อบเชยกับข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น

3 Nov 2017
ตอน อบเชยกับข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น
ครึ่งช้อนชาของอบเชยในแต่ละวันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาระดับคอเลสเตอรอล ...หรือแม้กระทั่งลดความอ้วน..
เมื่อเร็ว ๆ นี้ การศึกษา12 สัปดาห์ในลอนดอนที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 58คนที่มีระดับฮีโมโกลบิน A1c (HbA1c) สูงกว่าร้อยละ 7
ฮีโมโกลบิน A1c เป็นเครื่องหมายในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาวของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หลังจาก 12 สัปดาห์ของการให้กินอบเชย 2 กรัมต่อวันพบว่าระดับน้ำตาลสะสม HbA1c ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของความดันโลหิต
ทั้งตัวบนและตัวล่าง
ข้อสรุปของนักวิจัย:
"อบเชยวันละ 2 กรัมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ช่วยลดระดับ HbA1c ความดันตัวบนและตัวล่างเมื่อเทียบกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ได้ควบคุม การเสริมอบเชยอาจจะถือว่าเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตที่ดีร่วมกับยาทั่วไปที่ใช้ในการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 "
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาใหม่ ๆ จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ชี้ไปที่การเชื่อมต่อระหว่างแมกนีเซียมในอาหารและการลดลงของความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
รอยเตอร์ระบุว่า : มันเป็นไปได้ว่าแมกนีเซียมอาจมีผลต่อความเสี่ยงโรคเบาหวานเพราะว่าแร่ธาตุจำเป็นสำหรับการทำงานที่เหมาะสมของเอนไซม์หลายอย่างในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลของร่างกาย"
นักวิจัยได้ทำการศึกษาปริมาณของแมกนีเซียมและความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในชายและหญิงจำนวน 4,500 คนอายุ 18 ถึง 30 ปีและผู้เข้าร่วมไม่เป็นโรคเบาหวานในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา
เมื่อ 20 ปีผ่านไป 330 คนมีการพัฒนาไปสู่โรคเบาหวาน คนที่มีการบริโภคแมกนีเซียมสูงสุด - ประมาณ 200 มิลลิกรัมสำหรับทุก 1,000 แคลอรี่ที่บริโภค – มีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อ 1,000 แคลอรี่
การศึกษายังพบว่าปริมาณแมกนีเซียมที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระดับการอักเสบและความต้านทานต่ออินซูลินลดลง
หมายเหตุ: รอยเตอร์สรายงานข้อสรุปหนึ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างดุเดือดว่า : การบริโภคธัญพืช (ซึ่งมีแมกนีเซียมสูง) มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคเบาหวานที่ลดลง!! นี่ไม่เป็นความจริง !!
หากคุณกำลังมองหาวิธีที่จะเพิ่มแมกนีเซียมในอาหารของคุณให้หลีกเลี่ยงธัญพืชและเลือกทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพเช่นอะโวคาโด อัลมอนด์ บางชนิดของถั่วและถั่วเปลือกแข็ง
!! อบเชยให้ประโยชน์ในโรคเบาหวานได้อย่างไร
นักวิจัยได้ตรวจสอบผลกระทบของอบเชยเป็นเวลาหลายปีและในการศึกษาล่าสุดทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานแสดงให้เห็นว่าอบเชยได้พิสูจน์ว่ามันเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพในการต่อสู้กับโรคเบาหวานเมื่อเทียบกับยา
...เพียงครึ่งช้อนชาของอบเชยต่อวันได้รับการแสดงให้เห็นว่าลดระดับน้ำตาลในเลือด ไตรกลีเซอไรด์ LDL (ไขมันไม่ดี) และระดับคอเลสเตอรอลรวมในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2….
การศึกษาอื่นพบว่าเครื่องเทศนี้เพิ่มการเผาผลาญกลูโคสประมาณ 20 เท่าซึ่งมีนัยสำคัญที่จะปรับปรุงความสามารถในการควบคุมน้ำตาลในเลือด
และที่น่าสนใจ..คืออบเชยช่วยลดน้ำตาลในเลือดของคุณโดยทำหน้าที่ในระดับที่แตกต่างกัน
มันทำให้ช่องว่างในกระเพาะอาหารของคุณลดลงอย่างช้า ๆ เพื่อลดการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของน้ำตาลในเลือดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือความไวของอินซูลิน
นอกจากนี้ยังเพิ่มการป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระไม่ให้เกิดความเสียหาย การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปีที่ผ่านมาระบุว่า "โพลีฟีนอลจากอบเชยอาจจะเป็นที่น่าสนใจเป็นพิเศษในคนที่...มีน้ำหนักเกินด้วยเหตุผลที่ว่าคนเหล่านี้มีความบกพร่อง"
อีกสารประกอบ bioflavanoid ที่เรียกว่าproanthocyanidin อาจปรับเปลี่ยนการทำงานของอินซูลินในการส่งสัญญาณในเซลล์ไขมันของคุณ
นักวิจัยมีข้อเสนอแนะว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจเห็นการปรับปรุงจากการเพิ่ม 1/4 - 1 ช้อนชาของอบเชยเข้าไปในอาหารของพวกเขาและผมก็เห็นว่าไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะไม่ลองถ้าคุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับอบเชยในเมนูต่าง ๆ (พร้อมกับการทำสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อปรับปรุงโรคเบาหวานรวมทั้งการกำจัดฟรักโตส ธัญพืชและแป้งขัดขาวจากอาหารของคุณรวมไปถึงการอบตัวและการออกกำลังกายทุกวัน)
ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่น ๆ ของอบเชยรวมถึง:
-สนับสนุนการย่อยอาหาร
-บรรเทาความแออัด
-บรรเทาอาการปวดและตึงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ
-สารต้านการอักเสบที่อาจจะบรรเทาโรคข้ออักเสบ
-ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ฟันผุและโรคเหงือก
-บรรเทาความรู้สึกไม่สบายเมื่อมีประจำเดือน
-มีสารประกอบที่ลดความเข้มข้นของเลือดซึ่งจะกระตุ้นการไหลเวียน
เห็นได้ชัดว่าการเพิ่มจำนวนที่เพียงพอของอบเชยในอาหารของคุณเป็นอะไรที่ไม่แพงเลยและดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและความน่าจะเป็นที่จะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ในระยะยาวมีขนาดเล็กน้อยมาก
...อาหารที่ดีอื่น ๆ ในการต้านโรคเบาหวาน…
นอกเหนือจากอบเชยและแมกนีเซียมแล้วอาหารอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานรวมถึง:
บร็อคโคลี่ – การรับประทานบล๊อคโคลี่สามารถย้อนกลับความเสียหายที่โรคเบาหวานส่งผลกระทบไว้ในหลอดเลือดของคุณโดยสารประกอบที่ชื่อว่า sulforaphane
Sulforaphane กระตุ้นให้เกิดการผลิตเอนไซม์ที่ปกป้องหลอดเลือดและช่วยลดจำนวนของโมเลกุลที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ – ที่เรียกว่า Reactive Oxygen Species (ROS) - ได้ถึงร้อยละ 73
ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองได้ถึง 5 เท่าและทั้งสองโรคนี้เชื่อมโยงกับความเสียหายของหลอดเลือด
โพรไบโอติก - นักวิจัยพบว่าประชากรของแบคทีเรียในลำไส้ของผู้ป่วยโรคเบาหวานแตกต่างจากผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวานเป็นอย่างมากและการปรับเปลี่ยนจุลินทรีย์ในลำไส้ของคุณด้วยโพรไบโอติกจะสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้เช่นกัน
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี

สร้างเสริมคอลลาเจนด้วยวิธีการทางธรรมชาติ

6 Nov 2017
ตอน สร้างเสริมคอลลาเจนด้วยวิธีการทางธรรมชาติ
ไม่ว่าชายหรือหญิงที่เห็นภาพผิวของพวกเขาดูหมองคล้ำ แห้งหรือผิวหย่อนคล้อยในแบบที่พวกเขาไม่เคยเป็นมาก่อน... พวกเขาอาจจะซื้อครีมหรือโลชั่นในความพยายามเพื่อที่จะลดสัญญาณเหล่านี้และในบางรายอาจมองหาสิ่งอื่นเช่นครีมกันแดด สารอาหารที่ทำให้นอนหลับ สารอาหารที่รู้สึกว่าไม่เพียงพอและปัจจัยอื่น ๆ
หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในอาการทางผิวหนังเหล่านี้และอาการอื่น ๆ ของริ้วรอยคือการสูญเสีย...คอลลาเจน...โปรตีนที่สำคัญที่คุณต้องการเพื่อให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา ในฐานะที่เป็นสารประกอบของกรดอะมิโนที่จำเป็น มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เกิดคอลลาเจนในร่างกายของคุณคือการกินอาหารเพื่อให้ร่างกายสร้างขึ้นมาเพราะร่างกายไม่สามารถผลิตได้โดยปราศจากสารอาหารที่ถูกต้อง
นอกจากนี้คอลลาเจนยังเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกายของคุณซึ่งพบได้เฉพาะในเนื้อเยื่อมนุษย์และสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วร่างกายจากกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็นรวมไปถึงหลอดเลือดและระบบทางเดินอาหารของคุณ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่เคยได้ยินเรื่องนี้เฉพาะที่เกี่ยวกับความยืดหยุ่นของผิวแต่คอลลาเจนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในหลายพื้นที่รวมถึงเส้นผมและเล็บของคุณ การศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรตีนตัวนี้เป็นส่วนประกอบถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายของคุณและเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของโปรตีนสำหรับผิวของคุณ
Better Nutrition (1) กล่าวว่า...ร่างกายของคุณมีคอลลาเจนที่แตกต่างกันมากกว่า 20 ชนิดแต่เมื่อถึงช่วงอายุ 20 ปีก็เริ่มเสื่อมลงและเมื่อถึงอายุ 80 ปีคุณจะมีปัญหาเกี่ยวกับผิวประมาณสี่เท่า
!! คอลลาเจน - หรือสิ่งที่ขาดหายไป – ส่งผลกระทบต่อผิวของคุณ !!
ในทางเทคนิคของโพลี่เป็บไทด์- คอลลาเจนยังเป็นกรดอะมิโนสายยาวซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนแต่ละตัวเช่น glycine, proline, hydroxyproline และ arginine นอกจากนี้ threonine ยังเป็นอีกหนึ่งกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน อ้างถึง Vital Proteins:
“องค์ประกอบของคอลลาเจนถือว่าไม่เหมือนใครเนื่องจากมีปริมาณ hydroxyproline สูง หากคุณขาดกรดอะมิโนที่รวมกันเพื่อสร้างคอลลาเจน เซลล์ในร่างกายของคุณไม่สามารถผลิตได้อย่างเพียงพอและ threonine เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน "(2)
ผิวที่กระจ่างใสและมั่นคงเริ่มขึ้นภายในร่างกายของคุณดังนั้นจึงเป็นความจริงที่ว่า..กินอะไรได้สิ่งนั้น.. สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือร่างกายของคุณได้รับการปรับปรุงหรือต้องทนต่ออาหารที่คุณกินเข้าไปในแต่ละวัน
!! อวัยวะที่เฉพาะเจาะจงซึ่งมีผลต่อการผลิตคอลลาเจนรวมถึง:
-ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของคุณเนื่องจากพวกเขาปล่อยสารอาหารเข้าสู่ร่างกายและช่วยให้อาหารเคลื่อนไปข้างหน้าและออกนอกร่างกาย การกำจัดของเสียในเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ (ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเส้นใยจึงมีประโยชน์) เมื่ออาหารตกค้างอยู่เป็นเวลานาน ผิวของคุณอาจกลายเป็นหมองคล้ำ มันและมีสิว
-ต่อมหมวกไตที่ดีทำงานโดยการให้ฮอร์โมนที่สำคัญ ได้แก่ DHEA เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน โพรเจสเตอโรนและ pregnenolone ความไม่สมดุลของฮอร์โมนสามารถทำให้ผิวมีปัญหาได้
-สองอวัยวะที่กรองสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของคุณอย่างต่อเนื่องได้แก่ ตับและไต อาหารที่ขาดสารอาหารที่เหมาะสมสามารถส่งผลต่ออวัยวะที่สำคัญเหล่านี้และทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามที่ควรจะเป็นและอาจทำให้ผิวที่ปรากฏมีสุขภาพที่ไม่ดี
-ปัญหาต่อมไทรอยด์อาจส่งผลเสียต่อผิวของคุณและนำไปสู่การเกิดสิวนอกจากนั้นยังทำให้ผิวแห้งกร้านและหมองคล้ำเนื่องจากต่อมไทรอยด์ทำงานใกล้ชิดกับต่อมหมวกไต
!! ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างคอลลาเจน
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและวิถีการดำเนินชีวิตบางอย่างสามารถลดทั้งการผลิตคอลลาเจน ส่งผลต่อสีผิวและความยืดหยุ่นของคุณ Medical News Today อธิบายว่า:
"เมื่อระดับคอลลาเจนสูง ผิวหนังจะเนียนนุ่มและกระชับ คอลลาเจนช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวใหม่และซ่อมแซมตัวเอง คอลลาเจนยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ด้วยเหตุนี้คอลลาเจนจึงถูกมองว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในการดูแลผิวพรรณตลอดหลายปีที่ผ่านมา "(3)
มีบางอย่างได้รับการกล่าวถึงแล้วแต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถชะลอความสามารถของร่างกายในการผลิตโปรตีนที่จำเป็นนี้:
-การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
-ยา
-ทำงานมากเกินไป
-น้ำมันที่เติมไฮโดรเจน
-อาหารแปรรูป
-อายุ
-ภาวะโภชนาการบกพร่อง
-น้ำทีมีฟลูออรีน
-รังสี
-ตากแดดมากเกินไป
-น้ำตาล
-ความตึงเครียด
-การคายน้ำ
-แอลกอฮอล์
-การบาดเจ็บ
-สุขภาพลำไส้ที่ย่ำแย่
เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องได้รับแสงแดดเป็นเวลานานพอสมควรเพื่อเพิ่มระดับวิตามินดีแต่อย่างไรก็ตามการการตากจนถึงจุดที่โดนเผาจะกลายเป็นการทำร้าย เซลล์ผิวของคุณได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังถูกทำลายอีกด้วย สภาพแวดล้อมก็เป็นอีกส่วนทำให้แย่ลง: มลพิษและอนุภาคฝุ่นอาจทำให้ผิวคุณเสียหายเร็วขึ้น
คนมักใช้ครีมเพิ่มคอลลาเจนเพื่อช่วยในการซ่อมแซม...แต่ Medical News Today(4) เชื่อว่าโมเลกุลคอลลาเจนไม่สามารถข้ามไปสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปได้ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าครีมเหล่านี้จะทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
!! แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างต้องมีทางออกและมีวิธีการที่ดีกว่าเสมอ !!
....น้ำสต๊อกกระดูก (Bone Broth) และคอลลาเจนจากวัว(Bovine Collagen) เพื่อการปรับปรุงผิวหนังและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
หากคุณเป็นมังสวิรัติคุณอาจยากลำบากมากขึ้นที่จะรักษาปริมาณคอลลาเจนของคุณไว้เนื่องจากมันถูกเก็บไว้ในกระดูกของสัตว์และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมซุปกระดูกจึงถือว่าเป็น....สุดยอดแห่งอาหาร
เนื่องจากการปรุงที่ค่อย ๆ ให้ความร้อน คอลลาเจนจะออกมาจากกระดูกและทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์ : ช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อและการอักเสบรวมทั้งเพิ่มระดับพลังงานของคุณตามธรรมชาติ
!! เมื่อทำน้ำซุปกระดูก...ให้แน่ใจว่าจะใช้เฉพาะไก่ที่ดีที่สุด วัวที่เลี้ยงแบบอินทรีย์หรือสัตว์ที่กินหญ้า
อีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการดื่มน้ำซุปกระดูกเพื่อเพิ่มคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิวและสุขภาพร่วมกันของคุณคือการใช้คอลลาเจนจากวัว (bovine collagen) (5) ปัญหาหนึ่งในการได้รับคอลลาเจนที่เพียงพอในอาหารของคุณก็คือการเข้าถึงกระดูกส่วนที่มีคอลลาเจนอยู่มากที่สุด
คอลลาเจนจากวัวเป็นโปรตีนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่พบได้ในกระดูกอ่อน กระดูกและหนังวัวและคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในร่างกายของคุณเองที่เรียกว่าคอลลาเจนประเภท I และ III ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในผิว เล็บ เส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกตลอดจนฟัน เหงือก ตาและหลอดเลือด
คอลลาเจนจากวัวจะให้ glycine - กรดอะมิโนภูมิคุ้มกันที่จำเป็นสำหรับการสร้างสาย DNA และ RNA และเป็นหนึ่งในกรดอะมิโนสามตัวที่สร้าง Creatine ซึ่งช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและช่วยในการผลิตพลังงานในระหว่างการออกกำลังกายเช่นเดียวกับ Proline -อีกหนึ่งกรดอะมิโนสำคัญสำหรับการผลิตคอลลาเจนของร่างกายของคุณเอง
..6 คุณประโยชน์ต่อสุขภาพเพิ่มเติมโดยการเสริมคอลลาเจนจากวัว ได้แก่ : 6
-การนอนหลับที่ลึกขึ้นและการปลดปล่อย serotonin เนื่องจากปริมาณของ glycine
-ปรับปรุงโทนสีผิวและโครงสร้างผิวและที่น่าสนใจที่สุดคือลดเซลลูไลท์ได้ดีขึ้น (7, 8)
-ลดอาการคันทวารหนักและโรคริดสีดวงทวาร ลดสิว ลดอาการปวดหลังการถอนฟัน(9)
-รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและเสริมสร้างกระดูก(10)
-สร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเนื้อเยื่อเพื่อการกู้คืนหลังการออกกำลังกาย สนับสนุนความแข็งแรงของเอ็น(11)
-ช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้และการย่อยอาหารเนื่องจากกรดอะมิโนไกลซินเป็นของเหลวที่จำเป็นในการย่อยอาหารซึ่งผลิตในกระเพาะอาหารของคุณ (12)
!! วิธีการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มระดับคอลลาเจนของคุณ
นอกเหนือจากกระดูกและคอลลาเจนของวัวแล้ว ยังมีวิธีการอื่น ๆ อีกมากมายที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้กับชีวิตของคุณ
-การศึกษากล่าวว่า..การบำบัดด้วยแสงสีแดงหรือที่เรียกว่าการบำบัดด้วยแสงเลเซอร์ระดับต่ำช่วยเพิ่มคอลลาเจนเพื่อปรับปรุงริ้วรอยและความยืดหยุ่นของผิว
-Retinol เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ใช้ในการเพิ่มอายุการใช้งานของคอลลาเจนและบล็อกเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน
-โสมซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านการอักเสบพบว่ามีการเพิ่มคอลลาเจนในกระแสเลือดและอาจมีประโยชน์ต่อการต่อต้านริ้วรอย (14)
-ว่านหางจระเข้ (กิน)มีเกือบสองเท่าของกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) และการผลิตคอลลาเจนในผู้เข้าร่วมการศึกษา (15) :กรดไฮยาลูโรนิคเป็นสารประกอบที่สำคัญสำหรับคอลลาเจนในผิวหนังสามารถพบได้ใน..ถั่วและหัวผักหรือในรูปแบบอาหารเสริม
-วิตามินซี ถูกพบจากการศึกษาว่าช่วยป้องกันผิวและสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
-สารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคอลลาเจนที่มีอยู่ การบริโภคผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเช่นมะเขือเทศ แตงกวา พริกและบล๊อคโคลี่จะช่วยคุณในเรื่องนี้
!! อาหารเพื่อสุขภาพผิว!!
New Beauty(17) ได้แสดงรายการอาหารเพื่อสุขภาพหลายชนิดที่คุณสามารถรับประทานเพื่อช่วยให้ผิวนุ่มและดูอ่อนเยาว์ตามที่คุณต้องการ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนเท่านั้นแต่ยังรักษาความยืดหยุ่นและปริมาณของหนังกำพร้าของคุณอีกด้วย
-กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ร่างกายและผิวของคุณได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม
-ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มคอลลาเจน
-มะนาวและมะขามป้อมซึ่งมีปริมาณวิตามินซีสูงให้กรดอะมิโนไลซีนและโพรลีนเปลี่ยนเป็นคอลลาเจน
-กระเทียมมีกำมะถันซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจนและยังประกอบด้วยกรดไลโปอิกและทอรีนเพื่อช่วยซ่อมสร้างเส้นใยคอลลาเจนที่เสียหาย
-ผักสีเขียวเข้มเช่นผักคะน้าและผักโขมมีการกล่าวถึงการผลิตคอลลาเจนและป้องกันอนุมูลอิสระ
ถ้าท่านมีปัญหาเรื่องสุขภาพผิว ข้อ เข่า เอ็น ให้อ่านซ้ำหลายครั้งแล้วลองหาวิธีการในแบบของคุณ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

อากาศเย็นกับอาการปวดข้อ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว

24 May 2017
ตอน อากาศเย็นกับอาการปวดข้อ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
ดังได้อธิบายไว้ในโพสต์ เรื่องเก๊าท์ถึง 4 ตอนแล้วว่า..ยูเรต(กรดยูริคจับตัวกับแคลเซียมคาร์บอเนต) ชอบอาศัยอยู่ในข้อที่เย็นและข้อที่พวกเขาชอบที่สุดก็คือ ข้อนิ้วหัวแม่เท้าเพราะเย็นที่สุดเนื่องจากมีการใช้งานที่ก่อให้เกิดความร้อนน้อยที่สุด
ในกรณีนี้ ร่างกายของคุณอาจมียูเรตสูงจากการกินอาหารที่มีพิวรีนสูงเป็นประจำ(หาอ่านได้ในตอน เก๊าท์ 1-4 )และอาจมีแคลเซียมในร่างกายมากเกินไป และตามที่เคยโพสต์ไปแล้วว่า เม็ดเลือดขาว ที่ชื่อว่า ลิมโฟไซต์ ทำหน้าที่กัดกินยูเรตและดังได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า น้ำตาล 1 ช้อนชาลดประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดถึง 75 % นาน 4 ชั่วโมง นั่นน่าจะบอกได้ว่า คุณได้ทำลายประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวอย่างต่อเนื่อง
โปรดระลึกไว้เสมอว่า ..เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีในความร้อน นั่นคือเมื่อคุณป่วยร่างกายจะเร่งสร้างความร้อนด้วยตัวของเขาเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเม็ดเลือดขาวเพื่อเก็บกินเชื้อโรค
สรุป !!
-หยุดกินหวานทุกรูปแบบไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด
-กินอาหารฤทธิ์ร้อน : ข่า ขิง พริกไทย ตะไคร้ ขมิ้น พริก กระเทียม เป็นประจำ
-ลดการบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง ยอดผัก ปลาดุก เครื่องในสัตว์ ถั่ว เป็นต้น
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี

จริงหรือที่เขาพูดกันความดันโลหิตสูงห้ามกินเค็มจริงรึ

26 May 2017
ตอน จริงหรือที่เขาพูดกัน
ความดันโลหิตสูงห้ามกินเค็มจริงรึ..หรือว่าผมบ้าไปแล้วที่สั่งผู้ป่วยรายนี้กินเกลือ..!!!
ตามมา....
อาการคลื่นไส้ส่วนใหญ่จะมาจากการขาดโซเดียมซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับกระเพาะอาหารในการหลั่งน้ำย่อย การเพิ่มโซเดียมจึงสามารถแก้อาการนี้ได้เสมอ..แล้วความดันโลหิตสูงในเคสนี้เกิดจากอะไร !!
.......................................................................
การขอผลการตรวจเพื่อพิสูจน์จึงเกิดขึ้น
.......................................................................
เป็นไปอย่างที่คิด ..โซเดียมต่ำ !!
แต่เอ๊ะ..ทำไมความดันโลหิตจึงสูงล่ะ ...
-ค่าเม็ดเลือดขาวและค่าเกร็ดเลือดที่สูงมันบอกว่ามีการอักเสบในเนื้อเยื่อหรือมีการแตก มีบาดแผลที่จะต้องรีบซ่อมแซม
-ค่าเม็ดเลือดแดงต่ำ ขาดฮีโมโกลบิน เม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ มันบอกถึงการหายใจของเซลล์ว่าขาดอ็อกซิเจน
.........................................................................
ดูแค่ 2 ค่านี้พอ...
ความดันสูงในเคสนี้บอกว่าเซลล์และเนื้อเยื้อขาด..อ็อกซิเจนอย่างรุนแรง หัวใจเลยต้องรีบสูบฉีดเพื่อเพิ่มอากาศ..ก็เท่านี้ไม่มีอะไรมากมาย
สรุป..เคสนี้ถูกสั่งให้กิน
-ตับ 3 มื้อในหนึ่งสัปดาห์
-เก๋ากี้ 50 เม็ดปั่นรวมกับผักอื่นๆ ตามชอบทุกวัน
-ออกกำลังกายเพื่อฝึกการเพิ่มออกซิเจน
.......................................
และแน่นอน..หยุดการอักเสบก็ ไม่กิน หวาน นม ผลไม้หวาน
.......................................
ประเด๋วก็หาย..และ !!!! อย่ามามั่วนิ่มว่า..ความดันโลหิตสูงห้ามกินเกลือ
..มันต้องหาข้อมูลให้แน่ชัด ดูอาการและซักประวัติกันให้สุด ๆ
........

ความฉ้อฉลเกี่ยวกับแร่ธาตุ

30 May 2017
ตอน...ความฉ้อฉลเกี่ยวกับแร่ธาตุ
มันเป็นการโกหกที่ยิ่งใหญ่ซึ่งนำพาผู้คนและบุคลากรทางการแพทย์ไปสู่หายนะแห่งสุขภาพ...
มันเริ่มต้นด้วยคำว่า “แคลเซียมจำเป็นมากสำหรับกระดูกที่แข็งแรง”
แพทย์เกือบจะทุกคนและผู้คนส่วนใหญ่ถูกฝังรากลึกจากความฉ้อฉลนี้ เราทุกคนเลยต้องดำดิ่งไปกับความเชื่อที่ว่า..ถ้าเราขาดแคลเซียมกระดูกของเราจะกลายเป็นผุยผง.. นี่เป็นการหลอกลวงและไม่เคยเป็นความจริง
ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วโลกได้บอกเราถึงความผิดพลาดของระบบความเชื่อ !!
แต่ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ผมอยากให้คุณรับรู้ว่า แคลเซียมเป็นเพียงแค่ 1ใน12แร่ธาตุที่ทำให้กระดูกแข็งแรง เมื่อใครสักคนได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดกพรุน ( Osteoporosis) นั่นหมายถึงการสูญเสียแร่ธาตุของกระดูก ไม่ใช่เพียงแค่ขาดแคลเซียมและถ้าคุณได้รับการแนะนำให้เสริมเพียงแค่แคลเซียมเพื่อบำรุงกระดูกจนเกินขนาดไม่ว่าจะได้มาในรูปแบบของ..นม..ตามคำแนะนำแพทย์หรือในรูปแบบอาหารเสริม..นั่นหมายถึงคุณกำลังได้รับสัญญาณแห่ง”ความตาย” เหตุเพราะแคลเซียมทำให้”คอนกรีตแข็งตัว”....แม่จ้าว...แล้วมันจะทำให้ส่วนใดของร่างกายแข็งตัวได้บ้างล่ะเนี่ย และถ้ามันเกินขนาดจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเราล่ะ..ตามมา!!
-นิ่วกรวยไต
-นิ่วถุงน้ำดี
-พลั๊คในหลอดเลือด
-หินปูนเกาะกระดูก
-การฝากของแคลเซียมในเนื้อเยื่อ
-เซลล์สมองผิดปกติ
-เนื้อสมองหดตัว
-สมองเสื่อม
........................................................
อะไรนำไปสู่สิ่งโกหกที่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเพราะมัน
..........................................................
ความรู้ที่ผิดพลาดซึ่งกลายเป็นดั่งความเชื่อทางศาสนาที่ถูกฝังรากลึกจากทุกวงการ..และต่อไปนี้คือความจริงที่ได้เพิ่มรายละเอียดให้มากขึ้น..
-แคลเซียมกับการทำงานของต่อมหมวกไต
แคลเซียมที่มากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไตในวัตถุประสงค์เพื่อให้ไตกักเก็บแมกนีเซียมเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย ผลของการทำเช่นนี้ก็คือ โซเดียมและโพแทสเซียมจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นจำนวนมากซึ่งส่งผลต่อแร่ธาตุสองชนิดนี้ในเซลล์เป็นอย่างมาก
!! ในความเป็นจริง :
-โซเดียมมีความจำเป็นในการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร การย่อยโปรตีน การขนส่งน้ำตาลกลูโคสและกรดอะมิโนเข้าสู่เซลล์และเนื้อเยื่อ(ยกเว้น เซลล์ไขมัน)
-โพแทสเซียมจำเป็นสำหรับการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์และช่วยรักษาไว้ซึ่งประจุของผนังเซลล์
แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจ มันเป็นตัวกำหนดให้กล้ามเนื้อและใยประสาทสื่อสารกันเมื่อพวกเขาต้องการแร่ธาตุสองตัวนี้ นอกจากนี้ทั้งสองยังช่วยรักษาความคงที่ของความดันโลหิตอีกด้วย ความไม่สมดุลหรือการขาดแร่ธาตุเหล่านี้นำไปสู่ความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่เซลล์ของหัวใจ
!! ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าเมื่อร่างกายขาดโซเดียมและโพแทสเซียมแล้วจะเกิดอะไรตามมา...กรดอะมิโนถูกจำกัดและเมื่อเซลล์ขาดกรดอะมิโน ร่างกายก็ไม่สามารถเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองได้และเมื่อเซลล์ขาดกลูโคส เซลล์ก็ขาดซึ่งพลังงาน ความอ่อนล้าหมดแรงของร่างกายโดยรวมก็ตามมา
!! ในความเป็นจริง ร่างกายจำเป็นต้องได้รับการบริจาคประจุลบจากแร่ธาตุในทุกปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นในเซลล์ ดังนั้นการขาดซึ่งแร่ธาตุจึงสามารถนำไปสู่หลายอาการของร่างกายได้
............................................................................................
เมื่อคุณอ่านจบ...คุณคิดถึงใคร !!
…………………………………………………
ในขณะที่แทบทุกจะโรงเรียนได้มอบ..นม..ที่บอกว่าเพิ่มแคลเซียมให้แก่เด็กเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้สูงใหญ่โดยไม่ได้คำนึงถึงสมดุลของแร่ธาตุ นั่นหมายถึงกำลังทำให้สมองเด็กฝ่อลงหรือไม่..สอนยากสอนเย็น ขาดสมาธิและนำไปสู่โรคอื่นในอนาคตหรือไม่ !!
นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเมื่อเขียนบทความจบ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

ถุงน้ำดีกับการทำความสะอาด

7 Apr 2017
ตอน..ถุงน้ำดีกับการทำความสะอาด
มีผู้คนจำนวนมากได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยไม่จำเป็นและจากประสบการณ์ของผม มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่สูญเสียถุงน้ำดีต้องเผชิญกับโรคเรื้อรังที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจบชีวิตด้วย ..ยาจิตเวช
.............................................................................
หนึ่งในผู้ที่ประสบปัญหานี้คือ..ภรรยาของผมที่ได้รับผลกระทบจากการรักษาโรคกรดไหลย้อนแบบผิดวิธีจนก่อนิ่วในถุงน้ำดีในสมัยที่ผมยังมีความเชื่อแบบเดิม ๆ แต่ปัญหานี้แก้ได้ภายใน 15 วันและเธอยังคงมีถุงน้ำดีที่มีประสิทธิภาพมาจนถึงทุกวันนี้
.............................................................................
เนื่องจากศัลยแพทย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ !!
พวกเขาเพียงแต่รักษาอาการ.. มันทำให้รู้สึกเหมือนกับการเอาผ้าเทปดำปิดไฟแจ้งเตือนบนหน้าปัดรถยนต์ของคุณหากความดันน้ำมันเครื่องต่ำ.. ใช่ !! มันช่วยกำจัดแสงเพื่อที่มันจะไม่รบกวนคุณอีกต่อไป แต่คุณจะต้องมองหาที่ซ่อมแซมเครื่องยนต์ด้วยราคาที่แพงกว่าเดิมมหาศาลถ้าคุณล้มเหลวในการรักษาสาเหตุของไฟที่เปิดเตือน
หากคุณมีอาการปวดท้องที่อยู่ด้านล่างกระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายทางด้านขวาแนวเดียวกับหัวนมด้านขวาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณกดตรงจุดนั้น นั่นบอกว่าคุณมีโอกาสที่จะมีปัญหาถุงน้ำดี
ผมเชื่อว่ามันเกือบจะเป็นความผิดทางอาญาที่การแพทย์แผนปัจจุบันได้กระทำต่อประชาชนเมื่อมันมาถึงการจัดการปัญหานี้ มันไม่จำเป็นต้องตัดถุงน้ำดีซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อระบบโดยรวมของร่างกายออกไปในบางคน
....แต่หากใครบางคนไม่สนใจอาการเตือนและไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ถุงน้ำดีไม่สามารถทำงานได้ตามปกติจนภาวะของโรคสามารถลุกลามไปถึงจุดที่ตับอ่อนอักเสบหรือถุงน้ำดีได้รับการติดเชื้ออย่างรุนแรง การตัดนั้นจึงอาจต้องถูกนำมาใช้เพื่อ..ช่วยชีวิตคน
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องมีมุมมองที่เหมาะสม...เกือบ 2 แสนถุงน้ำดีถูกตัดออกไปในแต่ละปีในประเทศนี้และเป็นที่คาดกันว่ามีเพียง 600 ถุงน้ำดีที่จำเป็นต้องตัดออกไป
ดังนั้น ไม่เพียงแต่ศัลยแพทย์จะตัดอวัยวะเหล่านี้ออกโดยไม่จำเป็นแล้ว แต่ยังเพิกเฉยต่อความรู้ด้านโภชนาการ พวกเขามักบอกกับผู้ป่วยว่า “ถุงน้ำดีไม่ได้ทำหน้าที่ใด ๆ และคุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยปราศจากถุงน้ำดี”
.!! มันเป็นความจริงหรือ..!! เปล่าเลย..นี่เป็นเรื่องโกหก
………………………………………………………………….
ถุงน้ำดีทำหน้าที่สำคัญในการย่อยอาหาร
มันจำเป็นต้องใช้ในการจัดการกับไขมันในกระบวนการ Emulsification .. แล้วกระบวนการนี้คืออะไร !! เราสามารถเข้าใจแนวความคิดนี้ได้อย่างง่ายดาย..เมื่อเราล้างจานที่มีไขมัน เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำความสะอาดไขมันโดยปราศจากสบู่เพราะสบู่ทำให้เกิดกระบวนการนี้ ไขมันจึงสามารถล้างออกไปได้
ในทำนองเดียวกันถุงน้ำดีทำหน้าที่เก็บน้ำดีและกรดน้ำดีซึ่งทำให้เกิดกระบวนการนี้ก่อนการขนส่งอย่างถูกต้องผ่านไปยังลำไส้และเข้าไปในกระแสเลือด
ทุกคนที่ได้รับการตัดถุงน้ำดีออกจะต้องใช้น้ำดีในรูปเกลือกับอาหารทุกมื้อในช่วงที่เหลือของชีวิต หากเขาต้องการป้องกันไม่ให้ไขมันดีที่เขากินเข้าไปถูกทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ในโถส้วม…
และหากใครก็ตามที่มีไขมันไม่เพียงพอในอาหาร..เรื่องราวเกี่ยวกับสรีรวิทยาทั้งหมดของพวกเขาจะถูกรบกวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการสร้างฮอร์โมนและ prostaglandins :สารประกอบหนึ่งของไขมันโดยร่างกายสร้างจากกรดไขมัน สารนี้มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนแต่ไม่ได้สร้างจากต่อมไร้ท่อ โพรสตาแกลนดินสร้างได้จากทุกเนื้อเยื่อของร่างกายซึ่งร่างกายจะสร้างสารนี้เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านั้นเกิดบาดเจ็บหรือติดเชื้อ
!! วิธีการทำงานของถุงน้ำดี !!
ถุงน้ำดีเป็นอวัยวะที่กลวงและไม่เคลื่อนที่ มันทำหน้าที่ช่วยส่งน้ำดีไปยังระบบทางเดินอาหารซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับไขมันและน้ำมัน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบธรรมชาติได้รายงานไว้ในหนังสือหลายเล่มระบุว่า..สิ่งต่อไปนี้อาจทำให้ถุงน้ำดีเกิดความเสียหายได้
-ปริมาณไขมันและน้ำมันที่มากเกินไป
-ของเหลวที่มีความเย็นมาก
-ผลิตภัณฑ์นมเย็น
-กรดไหลย้อนหรือมีลมในระบบทางเดินอาหารมาก
-การวางแผนและการคิดล่วงหน้าตลอดเวลา
-ความเครียด
นักเขียนกลุ่มเดียวกันกล่าวว่าถุงน้ำดีสามารถป้องกันได้โดย:
-ผักดองจำพวกแตงกวาดอง กิมจิ กะหล่ำปลีดอง
-น้ำส้มสายชูที่มีคุณภาพดี
ตามที่นักเขียนเหล่านี้รายงาน ปัญหาถุงน้ำดีมักจะพบในคนที่:
-วางแผนอย่างต่อเนื่อง
-อ่อนไหวต่อการเกิดลมในระบบทางเดินอาหาร
-อ่อนไหวต่อเสียงรบกวน
-อ่อนไหวต่อกลิ่นที่รุนแรง
อาการของตะกอนในถุงน้ำดี:
-อาหารไม่ย่อย
-อาการท้องอืด
-อาการปวดเป็นระยะด้านขวาของซี่โครงซี่สุดท้าย
-ตึงที่ด้านหลังของไหล่ คอ
-มีรสขมในปาก
!!! มาทำความสะอาดถุงน้ำดีอย่างค่อยเป็นค่อยไปกันดีกว่าไหม..ถ้าไม่อยากถูกตัดทิ้ง
การทำความสะอาดนี้ใช้เวลา 21 วันอย่างช้า ๆ และอ่อนโยนต่อร่างกาย นี่เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่าจะมีตะกอนหรือหินปูนมากน้อยเพียงใด.. ทำความสะอาดสองหรือสามครั้งต่อปีเพื่อให้แน่ใจว่าถุงน้ำดีมีสุขภาพดี
ในระหว่างการทำความสะอาดให้หลีกเลี่ยงอาหารทุกชนิดที่มีไขมันสูง ลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่.. รับประทานธัญพืช ผัก ผลไม้ไม่หวานและพืชตระกูลถั่วเพื่อช่วยล้างถุงน้ำดี
อาหารเหล่านี้เร่งกำจัดหินและตะกอนในถุงน้ำดี :
-สาหร่ายทะเล
-เลมอน
-มะนาว
-ขมิ้น
-หัวไชเท้า ตลอด 21 วันของการทำความสะอาดให้กินหัวไชดิบขูด 1-2 หัวระหว่างมื้ออาหารและดื่มชาสามใบหรือชาดอกคาโมไมล์ 5 ถ้วยต่อวัน
-สำหรับทุก 70 กิโลกรัมของน้ำหนักตัวให้ใช้น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์สกัดเย็น 5 ช้อนชาผสมในอาหารต่อวันหรืออาจแบ่งครึ่งและใช้สำหรับสองมื้อ ใช้น้ำมันแฟลกซ์ 6 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 2 เดือน
และนี่คือทางเลือกที่จะทำให้คุณไม่ต้องสูญเสียสิ่งที่ธรรมชาติได้สรรสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี

หลังจากได้ซักประวัติผู้ป่วยก็พบว่า..เป็นนักดื่ม

8 Apr 2017
ตอน หลังจากได้ซักประวัติผู้ป่วยก็พบว่า..เป็นนักดื่ม
และสิ่งที่แนะนำไปคือคุณขาดวิตามินบี 3 นะครับ ไม่ต้องไปหายามากินหรอกนะเพราะมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยในงานนี้
วิตามิน B3 หรือไนอะซิน (Niacin) : Nicotinic acid vitamin หรือจะเรียก วิตามิน PP (Vitamin PP) พบในปลา เนื้อ ไก่ ธัญพืช ตับ ถั่ว โดยทั่วไปร่างกายเราสามารถสร้างได้โดยอาศัยกรดอะมิโนทริปโทเฟน (Tryptophan) ซึ่งได้จาก มะเขือเทศ อะโวคาโด ผัก ผลไม้ มันฝรั่ง บร๊อกโคลี แครอท และหน่อไม้ฝรั่ง
วิตามิน B3 ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด ขยายหลอดเลือดเล็กๆ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด กำจัดสารก่อภูมิแพ้ ฮีสตามีนที่จะทำให้เกิดอาการคัน บรรเทาอาการข้ออักเสบ บรรเทาอาการโรคซึมเศร้า ช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาทและผิวหนังมีความสมบูรณ์มากขึ้น งานวิจัยพบว่าวิตามิน B3 เพียงปริมาณ 2-7 กรัม จะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลวได้ 10-15% และไตรกลีเซอไรด์ 81% และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี 15-29%
ปริมาณวิตามิน B3 ที่ร่างกายต้องการต่อวัน คือ 20 มิลลิกรัม และไม่ควรได้รับเกิน 10 เท่า
การขาดวิตามิน B3 นั้นพบได้จากสาเหตุ
1 การขาดโปรตีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับทริปโทเฟนต่ำ
2 การรับประทานข้าวโพดหรือข้าวฟ่างเป็นอาหารหลัก เนื่องจากข้าวโพดมีทริปโทเฟนต่ำ และข้าวฟ่างมีลูซีนสูงจึงทำให้เปลี่ยนไนอะซินเป็น NAD และ NADP จึงทำให้ขาดไนอะซิน
3 การดื่มสุราเป็นประจำ ทำให้ร่างกายดูดซึมไนอะซินได้น้อยลงและมีโอกาสได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลง
4 การย่อยและการดูดซึมอาหารผิดปกติ อาทิเช่น โรคลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน กระเพาะอาหาร ทำให้มีการย่อยและดูดซึมไนอะซินน้อยลง
จะรู้ได้อย่างไรว่าพร่อง ...วิตามิน บี3
-อาการเมื่อขาดเล็กน้อยและระยะเวลาในการขาดไม่นานมากจะทำให้เกิดท้องเสีย มีผื่น ความรู้สึกวิตกกังวล
-อาการเมื่อขาดรุนแรงและขาดเป็นระยะเวลานานจะเป็นโรคผิวหนังที่เมื่อโดนแสงจะเป็นผื่นดำ เรียกว่า เพลลากกร้า (Pellagra) ซึ่งพบในประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 19 จากนั้นอาการที่จะแสดงให้เห็นมากขึ้นคืออาการเบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน ความจำไม่ดี หลับยาก
แค่พึงสังเกตตัวเองว่าขาดอะไรหรือมีอะไรมากเกินไป จะช่วยให้ท่านไร้สารเคมีได้เป็นอย่างดี
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณ Dr.John Bergman

P D B (Part 1)

9 Apr 2017
ตอน ..P D B (Part 1)
โรคแพนิค (Panic) โรคซึมเศร้า (Depression) และโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วหรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder)
“ถ้าคุณมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา วิธีการทางการแพทย์ในการรักษาโรคเหล่านี้ดูจะเป็นเรื่องที่... งี่เง่า...ที่สุด” จากหนังสือ Depression : The mechanical cause โดย Dr.John Bergman
โรคซึมเศร้า คือภาวะที่เกิดในระยะสั้นภายในระยะ 6 เดือนและอาจเกิดแค่ครั้งเดียวและที่สำคัญไปกว่านั้นคือร่างกายสามารถแก้ไขภาวะนี้ได้เองเมื่อได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและมันจะไม่กลับมาอีกเลยแต่..เมื่อคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้และได้รับยาจิตเวชมาเพื่อใช้เพราะคำว่า “รักษา” เป็นเวลา 5 ปีขึ้นไป..ในเวลาต่อมาคุณจะได้รับคำวินิจฉัยใหม่จากคนที่คุณเรียกว่า..แพทย์..”ตอนนี้คุณเป็นไบโพล่าและมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนยา” จริงหรือไม่ !!!!
เอาล่ะ..มาดูตัวยาที่การแพทย์ใช้กันจะดีกว่าไหม !!
Prozac เป็นหนึ่งในยาต้านโรคซึมเศร้าที่ใช้กันอย่างบ้าคลั่งโดยที่ไม่ทราบแน่ชัดว่า Prozac มีกลไกการทำงานอย่างไร และวงการแพทย์ในบ้านเมืองนี้ก็อ้างเพียง “ได้รับการยืนยันประสิทธิภาพจากคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530)”
ปัญหาก็คือ..มีใครกี่คนที่ได้อ่านใบแทรกในกล่องยาไม่ว่าจะเป็น Prozac,Depakote,Wellbutrin,Elavil และยาจิตเวชทั้งหลายแหล่..
ในใบกำกับกล่าวว่าอย่างไร..“ This mechanism of Prozac is unknown.” แปลว่า..กลไกการทำงานของยานี้ไม่เป็นที่ทราบได้..แล้วมันหมายความว่าอย่างไร..มันก็หมายความว่าแพทย์คนที่จ่ายยาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำงานอย่างไร..ใช่หรือไม่ !! แล้วคุณก็ยังเรียกวิธีการนี้ว่า “ การรักษา” มันใช่แน่หรือ..แล้วแพทย์ของคุณเคยบอกสิ่งนี้หรือไม่..พวกเขามักจะใช้คำว่า “ ผลข้างเคียง” แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ผลข้างเคียงแต่มันคือ..ผลโดยตรงจากการใช้ยา
- ทุกส่วนของร่างกาย : รู้สึกหนาว พยายามฆ่าตัวตาย ปวดท้องเฉียบพลัน ผิวแพ้แสงแดด
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด : ใจสั่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ระบบการย่อย : กลืนลำบาก โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ
ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร แผลในกระเพาะอาหาร ถ่ายเป็นเลือด หลอดอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน อาเจียนเป็นเลือด
- ระบบน้ำเหลือง : เลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดออกเป็นจุด เส้นเลือดฝอยอักเสบ
- ระบบประสาท : อารมณ์แปรปรวน มีความรู้สึกต้องการจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ประสานกัน เคลิบเคลิ้ม มีภาวะกล้ามเนื้อตึงตัวมาก สมรรถภาพทางเพศลดลง กล้ามเนื้อกระตุกรัว หวาดระแวง หลงผิด
- ระบบทางเดินหายใจ : หลอดลมตีบ
- ผิวหนัง : เป็นจ้ำเลือด
- ด้านการสัมผัส : สูญเสียการรับรส ม่านตาขยาย
นี่เป็นผลบางส่วนจากยาที่มักจ่ายให้ผู้ป่วยในโรค แพนิค ซึมเศร้าและไบโพล่า
.........................................................................
แพทย์ในทุกวันนี้มักไม่คำนึงถึงความเป็นพิษไม่ว่าจะมาจากยา โลหะหนัก สารปรุงแต่งรสชาติที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างเซอโรโทนิน (Serotonin) ตามธรรมชาติของร่างกาย ... เรามาดูกันว่าร่างกายสร้างมันอย่างไรและอะไรทำให้ร่างกายพร่องเซอโรโทนิน
!! เมื่อคุณขาดเซอโรโทนิน ..มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร !!
-อารมณ์
-ความจำ
-ความสามารถในการเรียนรู้
-ความอยากอาหาร
-ความตื่นตัว
-ความก้าวร้าว
-กระแสประสาท
-ความต้องการทางเพศ
-การนอนหลับ
-การแสดงออกทางสังคม
-หัวใจ
-กล้ามเนื้อ
-ระบบฮอร์โมน
เนื่องจากร้อยละ 90 ของเซอโรโทนินสร้างขึ้นในลำไส้นั่นหมายถึงปัญหาของระบบทางเดินอาหารเป็นต้นเหตุให้เกิดรายการที่กล่าวไว้ด้านบนนี้ ในทางกลับกันมันหมายถึง โรคอัลไซเมอร์ โรคจิตเสื่อม อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้น ซึมเศร้า แพนิค วิตกกังวล การตื่นตัว สมรรพภาพทางเพศเสื่อม หมดอารมณ์ทางเพศ การควบคุมกระแสประสาท ก็น่าจะมาจากปัญหาระบบลำไส้เช่นกัน
!! ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนมุมมองของคุณ !!
ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน เสียชีวิตเพราะวิธีการทางหัตถการที่เรียกว่า
“ Bleeding” ซึ่งชาวอียิปต์ใช้มานับหลายพันปี หลักคิดของวิธีการนี้คือ... โรคเกิดจากการมี “เลือดเสีย”หรือ “ผีสิง” หัตถกรมีหน้าที่ตัดหลอดเลือดเพื่อให้เลือดเสียหรือผีที่สิงอยู่ออกจากร่างและจ่าย Quicksiver ... Quicksiver ก็คือปรอทซึ่งเป็นสุดยอดของการทำลายระบบประสาท ในอดีตแพทย์นิยมใช้กันมากสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อและเป็นเรื่องน่าขำที่ว่า ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคอะไร Quicksilver จะถูกนำมาใช้ในทันที
เกิดอะไรขึ้นกับการแพทย์แผนปัจจุบันในเรื่องยาจิตเวช..พวกเขาตั้งสมมุติฐานของโรคไว้บนพื้นฐาน “สารเคมีในสมอง” หรือ “อาการผิดปกติทางจิต” ซึ่งไม่ได้เยียวยาสำหรับโรคแพนิค ซึมเศร้าและไบโพล่า พวกเขาแค่จ่ายสารพิษเพื่อเปลี่ยนแปลงอาการ ....
ดังนั้น..การแก้ที่สาเหตุของ โรคแพนิค ซึมเศร้าและไบโพล่า ก็คือเพิ่มการสร้าง เซอโรโทนินซึ่งร้อยละ 90 ถูกสร้างในลำไส้โดยการ :
-ปรับปรุงคุณภาพลำไส้
-ปรับสภาพแวดล้อมของลำไส้
-ปรับปรุงระบบการย่อย
-ปรับปรุงระบบการดูดซึมแร่ธาตุ
.......................................
กายวิภาคศาสตร์ของโรค
.......................................
การย่อยเริ่มที่การได้กลิ่นอาหารซึ่งจะไปกระตุ้นสมองให้หลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จากนั้นน้ำลายจะเริ่มย่อยคาร์โบไฮเดรท ส่วนโปรตีนจะถูกย่อยในกระเพาะอาหารและไขมันจะถูกย่อยในลำไส้..นี่คือกระบวนการที่สวยงามของระบบการย่อยซึ่งจะย่อยโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโน คาร์โบไฮเดรทไปเป็นน้ำตาลที่ใช้งานได้และไขมันไปเป็นกรดไขมัน คุณมีปากเพื่อเคี้ยวอาหารที่ต่อกับหลอดอาหารเพื่อส่งอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารต่อกับลำไส้เล็กและสารอาหารต่าง ๆ ถูกดูดซับที่นี่ ที่สำคัญคือ...เซอโรโทนินถูกสร้างที่นี่
!! และโปรดจำไว้ว่า !!!
อะไรก็ตามที่สามารถสร้างความเสียหายแก่ลำไส้เล็กจะส่งผลต่อการสร้างเซอโรโทนินเสมอ ในทางกลับกันเมื่อเซอโรโทนินถูกสร้างไม่ได้ ภาวะต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นดังได้กล่าวไว้ข้างต้น
และถ้าคุณไม่สามารถย่อยโปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรทได้ คุณจะจบลงที่การขาดสารอาหารซึ่งเป็นที่ต้องการของทุกเนื้อเยื่อและทุกกระบวนการที่สำคัญของร่างกาย รวมไปถึงการสร้างภูมิต้านทานและสุขภาพโดยรวม
...จินตนาการ...เมื่อเข้าสู่วัยชราก็จะมีความเหี่ยวย่นและตีนกา สิ่งนี้บอกอะไร!!
สิ่งนี้บอกว่า..คุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้ดีเท่ากับวัยหนุ่มสาว คุณกำลังขาดกรดอะมิโนซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพ คุณขาดเอ็นไซม์ในการย่อยโปรตีนให้กลายไปเป็นกรดอะมิโนหรือคุณมีความเครียดในระบบการย่อยอาหารและคุณก็สามารถหาได้จากการรับประทานอาหารเสริมหรือวิตามินเพื่อปรับปรุงการพร่องนี้หรือคุณสามารถปั่นอาหารของคุณเพื่อชดเชยการขาดกรดในกระเพาะอาหาร
และนี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มักจะถูกมองข้ามหรือไม่แต่จะระลึกถึงจากการแพทย์ในทุกวันนี้ จนก่อปัญหา..” ลำไส้รั่ว” ซึ่งหมายถึงภาวะที่โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือดและร่างกายจะสั่งโจมตีโปรตีนเหล่านั้นในฐานะผู้บุกรุกซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีกมากมาย
..คุณคือใคร..
คุณสร้างเซลล์นับพันล้านเซลล์ต่อวันและการสร้างเหล่านี้ได้มาจากสารอาหารที่คุณกินเข้าไปในแต่ละวันนั่นหมายความว่าอะไรก็ตามที่คุณกินเข้าไปมันจะกลายไปเป็นตัวคุณ
!!! ทุกอย่างเริ่มต้นที่ลำไส้!!!!
เกือบทุกโรคมีพื้นฐานจากการทำงานที่ผิดปรกติของลำไส้ อะไรก็ตามที่สามารถทำลายวิลไลในลำไส้เล็กหรืออะไรก็ตามที่ทำลายระบบการย่อยก็สามารถเป็นต้นเหตุของทุกอาการทางสมองได้เช่นกัน
มียาและสารเคมีมากมายในทุกวันนี้ที่สามารถสร้าง “รูรั่ว”ในลำไส้ และถ้าลำไส้คุณมีรูรั่ว มันก็คือ “ ลำไส้รั่ว” ที่เป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิ
.................................................
Excitotoxins หนึ่งในสาเหตุที่มักถูกมองข้าม..
.................................................
ผงปรุงรส สารให้ความหวานสังเคราะห์คือสุดยอดแห่งสุดยอดของการเป็นพิษต่อระบบประสาท มันมุ่งตรงเข้าเล่นงานส่วนกลางของสมองอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนท้ายที่สุดแสดงให้เห็นโรคได้อย่างชัดเจน ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
พึงสังเกตระบบขับถ่าย ระบบการย่อย และอุจจาระของคุณ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณ Dr.John Bergman

P D B (Part 2)

11 Apr 2017
ตอน P D B (Part 2)
โรคแพนิค (Panic) โรคซึมเศร้า (Depression) และโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วหรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) ..
........................................................................
อารมณ์คือสารเคมีที่ถูกสร้างโดยสัญญาณไฟฟ้าในสมองที่มีพื้นฐานมาจากการรับรู้ของคุณ ..
ยากไป !!.....เอาใหม่ !!
คุณแปลความหมายของความคิดและสิ่งเร้าจากภายนอกว่า ดี เลว สนุกสนาน น่ากลัว น่ารังเกียจ .....บนพื้นฐานว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับมันอาทิ เมื่อคุณเห็น
ลูกสุนัขขนยาวน่ารัก..ถ้าคุณมีอดีตที่แสนหวานกับพวกเขา จะใช้ความทรงจำในอดีตสั่งให้คุณมีความสุข รักและสนุกสนานไปกับพวกเขาแต่ถ้าคุณมีอดีตที่ปวดร้าวเพราะเคยถูกลูกสุนักขนยาวกัดจนต้องเสียเวลาไปกับการฉีดยาป้องกันบาดทะยักและทำงานไม่ได้ไปหลายวัน สมองของคุณจะสั่งให้ปล่อยสารเคมีแห่งความกลัว โกรธและเกลียดชัง ดังนั้นในความเป็นจริงเรากำลังอยู่กับอดีต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือเหตุการณ์หรือสิ่งเร้า เราแปลความหมายสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่าสมองของเราเชื่อมต่อกันอย่างไรและทุกครั้งที่สมองแปลความหมายออกมาเป็นความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอลและอะดรินาลีนจะอาบไปทั่วเรือนร่างจากนั้นระบบภูมิคุ้มกันจะต่ำลง
!! นี่คือความหมายของคำว่า สมองของเราเชื่อมต่อกันอย่างไร !!
สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาทที่เชื่อมต่อกันเรียกว่า Dendrites เซลล์เหล่านี้เชื่อมต่อกับ Dendrites ด้วยวิธีไซแนปส์ (Synapse)หรือจุดประสานประสาทเพื่อรักษาไว้ซึ่ง ความทรงจำ ความคิด ประสบการณ์ เป็นต้น
..จินตนาการ...ต้นไม้นับล้านต้นซึ่งมีกิ่งทุกกิ่งต่อประสานกัน..นี่คือการทำงานของสมอง
-มีประมาณ แสนล้านเซลล์ประสาท
-มี แสนล้านล้าน ไซแนปส์
-สามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลภายในมิลลิวินาที
คราวนี้คงจะพอนึกภาพออกว่า สมองเชื่อมต่อกันอย่างไร เซลล์ประสาทเชื่อมต่อและส่งสัญญาณกันอย่างไรเพื่อสร้างสารเคมีที่ส่งผลต่ออารมณ์
ยกตัวอย่างเช่น ดาราที่มีทั้งความร่ำรวย ประสบความสำเร็จและเป็นโรคซึมเศร้าหลายคนอาจทราบดีว่า ทั้ง ทราย-อินทิรา เจริญปุระ และคุณแม่นั้นต่างก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ทั้ง ๆ ที่ใครหลายคนคิดว่าชีวิตของพวกเขานั้นน่าอิจฉานักเพราะมีแทบจะทุกอย่างที่ใครหลายคนอยากจะมี..ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นอารมณ์ที่มีผลมาจากเคมีในสมองที่เซลล์ประสาทสื่อสารกันบนพื้นฐานของการรับรู้ต่อสิ่งเร้า
..ยากไป..เอาใหม่
บางคนเมื่อเห็นรถ โรลส์ รอยซ์ เขาอาจจะรับรู้ว่าหรูหราโดยไม่จำเป็น ฟุ่มเฟือย ความคิดนี้เป็นผลมาจากสารเคมีในสมองที่ถูกสร้างมา ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกตื่นเต้น อิจฉา อยากได้
ผมอยากให้คุณตระหนักว่า..มุมมองต่อตัวเองของคุณเป็นจริงสำหรับคุณ ถ้าคุณมองว่าตัวเองมีความสุข เชื่อมั่นในตัวเอง ประสบความสำเร็จและมีสุขภาพดี นั่นเป็นจริงสำหรับคุณ..และถ้าคุณมองตัวเองว่า ซึมเศร้า น่าอาย ป่วย ไร้ค่า ล้มเหลว นั่นก็เป็นจริงสำหรับคุณเช่นกัน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณจะเปลี่ยนการรับรู้ต่อตัวเอง ..ปลดปล่อยศักยภาพของคุณและเปลี่ยนการรับรู้ต่อตัวคุณด้วยตัวของคุณเอง..คุณไม่ได้เป็นทาสของความเป็นจริงในตัวคุณ..แต่..คุณเป็นทาสการรับรู้ความเป็นจริงในตัวคุณต่างหาก
..คิดใหม่...
ถ้าเราสามารถเปลี่ยนการรับรู้ เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทและเปลี่ยนวิธีที่เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันและเปลี่ยนชนิดของสารเคมีที่ถูกสร้างขึ้นและท้ายที่สุดเปลี่ยนสภาวะทางอารมณ์ นี่คือหัวข้อที่เล่าเรียนกันในหมู่ผู้นิยมสร้างสมาธิซึ่งจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง (Phesiol Rev.2014 Jan)
..มาเปลี่ยนโครงสร้างสมองกันดีไหม...
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนโครงสร้างของสมอง..แน่นอน !! ต้องมุ่งเป้าไปที่ส่วน ฮิบโปแคมปัส มันเป็นส่วนหนึ่งของระบบลิมบิกและทำหน้าที่ ๆ ดีเลิศ :
-เปลี่ยนสัญญาณประสาทสัมผัสไปสู่พฤติกรรมตอบโต้
-ความพึงพอใจ
-โกรธ
-ความอดทน
-ขับเคลื่อนความรู้สึกทางเพศส่วนเกิน
-ปรับอารมณ์
-เกี่ยวข้องกับ อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า ไบโพล่า
..งานวิจัยของ Harvard,Yale และ M.I.T จำนวนมากรายงานว่า..
การทำสมาธิ สวดมนต์ หรือขอพรจากพระเจ้า จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นในพื้นที่สำคัญของสมองสำหรับกระบวนการสร้างองค์ความรู้และอารมณ์เช่นเดียวกับดนตรี
..แบบฝึกหัดสำหรับการเปลี่ยนโครงสร้างสมอง…
ยืนหน้ากระจกวันละ 5 เวลาแล้วเปล่งวาจาออกมาดัง ๆ เป็นเวลา 21 วันคุณจะพบความแตกต่าง..
!!! เขียนคำเหล่านี้ไว้ที่หน้ากระจก !!!
ฉันกระตือรือร้น
ฉันเติมเต็ม
ฉันมีอำนาจ
ฉันเห็นอกเห็นใจ
ฉันรักผู้คน
ฉันรักตัวเอง
ฉันเป็นมิตร
ฉันใส่ใจ
ฉันชุ่มชื่น
ฉันรู้สึกทึ่ง
ฉันมีชีวิตชีวา
ฉันเป็นคนใจกว้าง
ฉันมองโลกในแง่ดี
ฉันเห็นใจ
ฉันสดใส
ฉันพอใจ
ฉันดีใจ
ฉันมีความสุข
ฉันรู้สึกดี
ฉันสุขสันต์
ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ฉันภูมิใจ
ฉันปลอดภัย
ฉันร่าเริง
ฉันสงบ
และ....ฉันผ่อนคลาย
นี่คือการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อกันของเซลล์ประสาทเสียใหม่เพื่อที่จะทำให้คุณหายจาก แพนิค ซึมเศร้าและไบโพล่า
..การนอนหลับที่ดีคือการรักษาโรค..
เพื่อให้บทความไม่ยาวมาก..ติดตามเรื่องการนอนได้ที่...
ท้ายที่สุด...
เปลี่ยนการรับรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในทางวิทยาศาสตร์..เรารู้ว่าการรับรู้สามารถเปลี่ยนเรื่องราวด้านสรีรวิทยา ดังนั้นคุณสามารถคิดได้ว่าคุณ...สบายดี หรือ คิดว่าคุณกำลัง..ป่วย ระบบของความเชื่อ..เกี่ยวโยงกับสุขภาพ
............................................................................
ความกลัว วิตกกังวล โกรธ สิ้นหวัง ซึมเศร้า ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนแห่งความเครียดและมันจะทำให้ร่างกายเป็นกรด เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่ม หายใจไม่สะดวก สารอาหารไม่พอเลี้ยงเซลล์ เหนื่อยง่ายและทำลายภูมิคุ้มกัน
............................................................................
ทำให้ได้ตามนี้..ชีวิตที่เหลือของคุณจะเปลี่ยนไป
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
ขอบคุณ ..หนังสือดี ๆ บนโลกใบนี้และเพื่อนรัก Dr.John Bergman