วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ถั่วเหลือง

30 Jul 2014 

รายการ”หมอนอกกะลา” วันนี้ มาชวนคุยเรื่องถั่วเหลืองกันให้ละเอียดอีกหน่อยครับ เพราะเห็นยังมีการโพสต์เชิญชวนให้กินกันอยู่ประปราย ก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ สุขภาพใครสุขภาพมันอยู่แล้วครับ แต่จะอุเบกขาซะก็เป็นห่วงครับ งานทั้งสองชิ้นนี้ขอยกเครดิตให้ผู้เผยแพร่ครับ ผมเรียบเรียงใหม่เล็กน้อยให้ดูไม่เป็นวิชาการมากนัก แต่ต้องยาวครับ ประเดี๋ยวไปเข้าใจผิดๆกันอีก ขอเข้ารายการนะครับ
เป็นที่รับรู้กันว่านมวัวเป็นเหตุของภูมิแพ้และการประชุมปี 1997 ของกองทุนวิจัยมะเร็งโลกและสถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริการะบุว่า นมวัวเป็นปัจจัยที่เป็นไปได้ (probable factor) สำหรับมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ กับมะเร็งต่อมลูกหมาก ธุรกิจนมยอดขายตกลงทุกที่ ๆ มีนมถั่วเหลืองเป็นคู่แข่ง นมถั่วเหลืองชูงานวิจัยว่า ถั่วเหลืองมีสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ ฟัยโตอีสโตรเจน ช่วยยับยั้งมะเร็งเต้านมได้ แถมช่วยเสริมฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ไม่มีอาการวัยทอง แถมป้องกันโรคหัวใจด้วย
แต่สมัยนี้เริ่มมีกระแสต้านถั่วเหลืองจากในอเมริกาเอง บอกว่ากินถั่วเหลืองมากจะทำให้ผู้ชายกลายเป็นกระเทย เพราะฮอร์โมนฟัยโตอีสโตรเจน ถั่วเหลืองยังทำให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ ทำให้เสี่ยงต่อสมองเสื่อมเป็นอัลไซเมอร์อีกด้วย เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร?
เริ่มจากคนอเมริกันประจักษ์ในผลร้ายของการดื่มนมวัวจึงพากันหันไปดื่มนมถั่วเหลืองแทน และเมื่อความต้องการของตลาดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างมอนซานโตในอเมริกาจึงทุ่มผลิตถั่วเหลืองออกสู่ตลาด จะผลิตให้ได้มากๆก็ใช้กระบวนการดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMO)เข้าช่วย พร้อมกันนั้นด้วยวิสัยทัศน์อย่างอเมริกัน ผลิตภัณฑ์จะเข้าสู่ตลาดได้ ก็ต้องทำให้สำเร็จรูป พร้อมแก่การชงดื่ม ทั้งตบแต่งสีกลิ่นให้ไม่ระคายรสนิยมของผู้บริโภค กลายเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ผงถั่วสกัด-เอสพีไอ(Soy protein isolate-SPI) ซึ่งเป็นผลงานของบริษัทยักษ์อย่าง คาร์กิลล์ ฟู้ดส์(Cargill Foods) และ ซอยไลฟ์(Soy Life) จากนั้นคนอเมริกันทั้งทารกและผู้ใหญ่ก็พากันกินผงถั่วสกัดชนิดนี้ ตั้งแต่นมชงจากผงถั่วไปจนถึงซอยเบอร์เกอร์ บิสกิตถั่วฯลฯ กลายเป็นกระแสของการตื่นกินถั่วเหลือง
ข้อกล่าวหา
ในระยะ 5 ปีให้หลังมานี้เริ่มมีกระแสคัดค้านการกินถั่วเหลืองขึ้นในอเมริกา โดยพูดถึงผลร้ายของถั่วเหลืองในด้านต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้คือ:
1.ถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฟัยโตอีสโตรเจน เป็นสารคล้ายฮอร์โมเพศหญิง ซึ่งถ้ารับไปมากๆเข้าก็ออกฤทธิ์แทนฮอร์โมนเพศไปเลย การวิจัยของจิลล์ ชไนเดอร์(Jill Schneider) มหาวิทยาลัยเลไฮ ที่เพนซิลวาเนียให้หนูทดลองกินสารสกัดโปรตีนถั่วอย่างจริงจัง ปรากฏว่าหนูทดลองเข้าสู่วัยรุ่นเร็วผิดปกติ เธอสรุปว่า เด็กที่กินนมถั่วเหลืองจะได้รับสารคล้ายฮอร์โมนนี้ซึ่งเป็นผลต่อการพัฒนาความเป็นหญิงและชายของคนเรา ทารกที่กินนมถั่วเหลืองสกัดในวันหนึ่งๆจะเท่ากับรับยาคุมกำเนิด 5 เม็ดต่อวัน ประมาณได้ว่าทารกเหล่านี้จะมีระดับสารไอโซฟลาโวนในเลือด 13,000-22,000 เท่าเมื่อเทียบกับระดับอีสตราไดออลจากนมวัวที่ทารกดื่ม
2.ถั่วเหลืองเป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารฟัยเตตซึ่งยับยั้งการดูดซึมเกลือแร่เช่นแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็กและสังกะสี ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่กินธัญพืชมักจะมีภาวะขาดเกลือแร่ เช่นเลือดจางเพราะขาดธาตุเหล็ก กระดูกพรุนเพราะขาดแคลเซียม น่าจะเป็นเพราะประเทศเหล่านี้กินธัญพืชมาก สรุปว่าทารกที่กินผงถั่วสกัด-เอสพีไอจงระวังปัญหานี้ให้ดี
3.ถั่วเหลืองมีสารต้านเอนไซม์ซึ่งยับยั้งการดูดซึมกรดอะมิโนทริปซิน และยับยั้งเอนไซม์ย่อยอาหารอีกหลายตัว ความร้อนจากการปรุงอาหารธรรมดาไม่สามารถยับยั้งสารต้านเอนไซม์ตัวนี้ได้ กินถั่วจึงท้องอืด และกินนานๆอาจทำให้ร่างกายพร่องโปรตีนได้ ถั่วเหลืองยังมีสารฮีแมกกลูตินินซึ่งทำให้เลือดจับก้อน จึงไม่ได้ป้องกันโรคหัวใจอย่างที่คุย แต่มีผลตรงกันข้าม
ทั้งฮีแมกกลูตินินและสารต้านทริปซินยังเป็นสารยับยั้งการเติบโต สารนี้อาจถูกย่อยสลายได้ด้วยการหมัก เช่นการทำเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว มิโซะ และเทมเปะของชาวจีนและญี่ปุ่น แต่สลายเพียงส่วนน้อยด้วยการหุงต้มธรรมดาหรือแม้แต่การตกตะกอนโปรตีนในกระบวนการทำเต้าหู้ สรุปว่าสารนี้น่าจะเป็นเหตุให้คนเอเชียตัวเล็ก ดังนั้นถ้าจะกินถั่วเหลือง ให้จำกัดการกินเฉพาะเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว มิโซะ เทมเปะและการสกัดด้วยระบบ Hydrolysis เท่านั้น แม้กินเต้าหู้ก็ยังไม่ปลอดภัยจากสารสองชนิดนี้ และจะเกิดผลร้ายต่อสุขภาพ อันนี้ชาวมังสวิรัติทั้งหลายรวมถึงสันติอโศกเริ่มทราบกันแล้ว และ มีเนื้องอกกันเยอะแล้ว เพื่อนรักผมไปช่วยบำบัดอยู่
4.ผลิตภัณฑ์ถั่วจากอเมริกาที่เข้าตลาดทั่วโลกทุกวันนี้กว่า 90% เป็นจีเอ็มโอ แถมอุดมด้วยสารฆ่าแมลง แถมการทำถั่วเหลืองให้เข้าสู่การพร้อมบริโภคในรูปของสารสกัดโปรตีนถั่ว(SPI) ใช้กระบวนการที่ผิดธรรมชาติหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่เอาถั่วเหลืองไปแช่ในน้ำด่างเพื่อขจัดสารเส้นใย จากนั้นก็ไปแช่น้ำกรดเพื่อสะเทินฤทธิ์ด่าง ปรากฏว่ากรดจะละลายอลูมิเนียมจากถังแช่เข้าสู่ผงถั่ว ทำให้ผงถั่วมีอลูมิเนียมปนเปื้อนมากกว่าปริมาณปกติถึง 1,000% เป็นที่รู้กันว่าการรับอลูมิเนียมมากสัมพันธ์กับการเกิดอัลไซเมอร์ ในกระบวนการพ่นละอองเพื่อทำผงถั่ว (spray dry) ยังเกิดสารพิษที่ชื่อว่า ลัยซิโนอะลานีน (lysinoalanine) ซึ่งเป็นสารกลุ่มไนไตรต์ที่ถือเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง แล้วกระบวนการแต่งรสของผงถั่วสกัดยังมีการใส่ผงชูรส (MSG) เข้าไปอีกด้วยเพื่อกลบรสชาติของถั่ว ใช้เป็นผงถั่วชนิดชงที่ไม่มีกลิ่นถั่วเหลือง หรือผลิตเป็นชิ้นโปรตีนถั่วสำหรับปรุงอาหาร อย่างที่คนไทยบ้านเราเรียกกันว่า โปรตีนเกษตร หรือคนจีนเรียกหมี่กึงนั่นแหละ แต่ในอเมริกาคงเอาผงถั่วชนิดนี้ไปทำของกินอีกสารพัด ยกเว้นผลิตรถยนต์โปรตีนถั่ว ( ขำๆครับ)
ที่ผ่านมาผลิตผลจากผงโปรตีนถั่วเริ่มใช้แพร่หลายเป็นอาหารมื้อเที่ยงในโรงเรียน ในผลิตภัณฑ์ขนมปิ้ง อาหารฟาสต์ฟู้ด และเครื่องดื่มสุขภาพ ทั้งยังกลายเป็นอาหารเพื่อการแจกจ่ายแก่ผู้คนในประเทศยากจนอีกด้วย นั่นแปลว่า กินโปรตีนถั่วปรุงแต่งที่แถมผงชูรสเอาไว้เสร็จสรรพ มันช่างแน่จริงๆ
5.ข้อกล่าวอ้างที่ว่าถั่วเหลืองต้านมะเร็งโดยยกตัวอย่างชาวญี่ปุ่นกินถั่วเหลืองมากกว่าคนอเมริกัน 30 เท่า จึงมีอัตราของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวอเมริกันมาก เริ่มมีข้อโต้แย้งโดยกลุ่มผู้ต่อต้านถั่วเหลือง ดังนี้คือ แม้ข้อมูลนี้จะจริง แต่ชาวญี่ปุ่นและชาวเอเชียก็ป่วยเป็นมะเร็งชนิดอื่น เช่นมะเร็งหลอดอาหาร กระเพาะ ตับ และตับอ่อนมากกว่า รวมทั้งมะเร็งไทรอยด์ด้วย จึงน่าจะเชื่อว่ามะเร็งไทรอยด์และมะเร็งทางเดินอาหารเหล่านี้สัมพันธ์กับอาหารที่กิน และงานวิจัยในสัตว์ทดลองก็พบความสัมพันธ์ดังกล่าว
งานวิจัยที่ญี่ปุ่นเมื่อค.ศ.1991 พบว่าการกินถั่วเหลือง 30 กรัมหรือ 2 ช้อนโต๊ะต่อวันเป็นเวลา 1 เดือนทำให้กระตุ้นฮอร์โมนที่กระตุ้นไทรอยด์(Thyroid stimulating hormone) เกิดคอพอก และภาวะไทรอยด์ต่ำ ปัจจุบันเด็กในอเมริกาทุกๆ 4 คนจะดื่มที่ชงจากผงถั่วสกัด-เอสพีไอ 1 คน
6.การบริโภคถั่วเหลืองในยุคปัจจุบันมาจากวัฒนธรรมตะวันออก คนจีนในอดีตกินถั่วเหลืองไม่ได้กินทั้งเมล็ด แต่ใช้การหมักเป็นเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ญี่ปุ่นก็เป็นเทมเปะ นัตโตะ มิโซะ และโชยุ ในภายหลังคือประมาณ 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาลจึงมาพบวิธีทำเต้าหู้ด้วยการตกตะกอนโปรตีนในสารละลายแคลเซียมแมกนีเซียมซัลเฟต คนจีนและญี่ปุ่นกินถั่วเหลืองหมักไม่เกิดโทษเพราะการหมักได้ทำลายเอนไซม์ต้านทริปซินและตัวขัดขวางการดูดซึมสารอาหารไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระบวนการทำเต้าหู้นั้น สารไม่ดีตัวนี้ยังอยู่โดยส่วนใหญ่ จึงยังมีผลร้ายมากกว่าผลดี
เหล่านี้คือ ด้านร้ายของถั่วเหลืองที่กลุ่มผู้ต่อต้านถั่วเหลืองกำลังเผยแพร่ พร้อมกับบอกอีกว่า ถ้าเด็กดื่มนมวัวแล้วแพ้ การกินนมถั่วเหลืองกลับมีอันตรายมากกว่า ครับ เหล่านี้คือข้อกล่าวหาการกินถั่วเหลืองที่เผยแพร่กันอยู่ในอเมริกาและทั่วโลกทางเน็ต และเป็นเหตุให้ผู้รักสุขภาพทั่วโลกเริ่มจะสติแตก
อันนี้ก็น่าอ่านครับ ถ้าใครไม่ถนัด ภาษาไทยด้านบนก็ครอบคลุมแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น