วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

โรคเบาหวานหายขาดได้ด้วยการฟื้นฟูตับอ่อน2

13 Sep 2014


มิเพียงไม่หวาดกลัวเบาหวานกัน แต่เรายังขยันเพิ่มโรคให้ตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน ด้วยการบริโภคของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง ทานข้าวขาว ข้าวเหนียว ทานแป้ง ทานขนมปัง โดนัท ไอศครีม และ ฟาสต์ฟูดต่างๆ สารพัดวิธีในการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินเพื่อนำพาน้ำตาลด้อยลงไป ไม่เพียงพอต่อการนำกลูโคสไปให้เซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ จึงมีน้ำตาลหลงเหลืออยู่ในกระแสเลือดเป็นปริมาณมาก ซึ่งเป็นภาวะที่พบเจอในผู้ป่วยเบาหวานนั่นเอง
จากพฤติกรรมติดหวานของคนส่วนใหญ่นี่เองที่ทำให้ปริมาณผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
พฤติกรรมอีกประการที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเป็นสาเหตุหลักของโรคเบาหวานคือ การทานอาหารเช้า หรือ ทานอาหารเช้าหลังช่วงเวลา 07:00 – 09:00 น. เป็นประจำ ซึ่งจะทำให้สมองขาดอาหารไปหล่อเลี้ยง จำเป็นต้องไปดึงน้ำตาลจากส่วนต่างๆของร่างกายและทำให้ตับอ่อนขาดสารอาหาร ในที่สุดตับอ่อนก็ทำงานอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอต่อการนำพากลูโคสไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย ทำให้มีน้ำตาลหลงเหลือในเลือดเป็นจำนวนมาก ก่อเกิดเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
สำหรับแพทย์แผนปัจจุบันแล้วโรคเบาหวานจัดเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
ผู้ป่วยต้องกินยาควบคุมน้ำตาลตลอดชีวิต รวมทั้งระมัดระวังในเรื่องการรับประมานอาหาร ลองคิดดูสิ ผู้ป่วย 3.5 ล้านคนในประเทศไทย จำเป็นต้องทานยาตลอดชีวิต (ทั้งยังมิอาจรับประกันได้ว่าจะปลอดภัยจากโรคแทรกซ้อน) เราต้องใช้ยาปริมาณมากมายมหาศาลเพียงไร แล้วใครกันเล่าที่รับทรัพย์จากภาวการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่บริษัทยา
แต่สำหรับแพทย์ทางเลือก เราเชื่อมั่นว่าสามารถรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ หลากหลายวิธีทางด้วยกัน เช่น บางสายเน้นการปรับอาหารและพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ตลอดจนการบริหารร่างกาย บางสายใช้อาหารเป็นตัวหลักในการรักษา และบางกลุ่มก็เน้นทั้งการปรับอาหารและการใช้ยาสมุนไพรควบคู่กัน ส่วนผมใช้การปรับอาหารร่วมกับการใช้สารอาหารสกัดเพราะควบคุมปริมาณได้ง่ายและค่าน้ำตาลไม่แก่วง
คราวนี้ก็มาป้องกัน และแก้ไขกันครับ
อาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อเป็น เบาหวาน
• น้ำตาลทุกชนิด รวมไปถึงน้ำผึ้ง
• ผลไม้กวนประเภทต่างๆ
• ขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆ
• ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ
• น้ำหวานประเภทต่างๆ
และควรปฏิบัติอย่างไร
• เลือกบริโภคอาหารให้ครบ 5หมู่
• ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากควรจะต้องลดปริมาณการรับประทานลง โดยอาจจะค่อยๆลดลงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยรับประทานปรกติ และพยายามงด อาหารมันๆ ทอดๆ
• รับประทานอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยในการขับถ่าย
• หลีกเลี่ยงการรับประทานจุกจิกและรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
• พยายามรับประทานอาหารในปริมาณที่สม่ำเสมอกันในทุกมื้อ
• หากมีอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม
• แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปรกติดีแล้วก็ควรจะต้องควบคุมอาหารตลอดไป
• ให้รับประทานอาหารหลากหลาย ไม่มีอาหารประเภทใดที่ดีสำหรับโรคเบาหวาน ต้องรับประทานอาหารหลากหลาย เพราะจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
• รับประทานอาหารสด หรือทำเอง หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารจานด่วนทั้งหลาย
• ส่วนอาหารมันให้หลีกเลี่ยง ลดเนื้อสัตว์ ลดหนังสัตว์ นม อาหารทอด ของทอดขนมขบเคี้ยว หลีกเลี่ยงอาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน tranfatty acid หากจะใช้น้ำมันให้ใช้น้ำมันมะกอกแทน
• หากรับประทานขนมปังควรเลือกชนิด whole grain
• รับประทานโปรตีนพอควรโดยเลือกโปรตีนจากเนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง และโปรตีนที่มีจากถั่วต่างๆ
• ลดอาหารเค็มโดยบริโภคเกลือไม่เกิน 2300 มกต่อวันโดยการลดเครื่องปรุสรส เช่นซี่อิ้ว ซ้อส เกลือ ของดอง ซอสมะเขือเทศ ของขบเคี้ยว
• รับประทานอาหารที่มีเกลือโปแตสเซี่ยมเพิ่มซึ่งพบในอาหาร ผัก ผลไม้ รับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยม เช่น ผักใบเขียว
• รับประทานอาหารธัญพืช ข้าวกล้องอย่างน้อยวันละ 6 ออนซ์(ธัญพืช 1 ถ้วย,ข้าวครึ่งถ้วยเท่ากับ 1 ออนซ์) ยิ่งรับประทานมากยิ่งดี
• รับประทานปลาเพิ่มอย่างน้อยสี่ครั้งต่อสัปดาห์ โดยนำไปย่าง อบหรือ ต้ม
• หากท่านชอบเนื้อต้องลดปริมาณลง และรับอย่าถี่ไป ให้ใช้เนื้อไก่แทน
• ส่วนเรื่องไข่ที่ถามกันบ่อย ให้รับประทานเท่าที่จำเป็นโดยไม่มากกว่าปริมาณไข่ขาวหนึ่งฟองต่อวัน
• รับประทานถั่วซึ่งมีหลักฐานว่าลดการเกิดโรคหัวใจ
• ใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก แทนน้ำมันปามล์
• ดื่มสุราไม่เกิน 1-2 drink)์( Count 5 ounces of wine, 12 ounces of beer, or 1½ ounces of liquor as one drink)
• ปรับอาหารและการออกกำลังเพื่อรักษาน้ำหนักให้คงที่
• ที่สำคัญคืออย่าไปเชื่อในสิ่งที่ไม่ได้มีการพิสูจน์หรือโพสต์แบบไร้งานวิจัยหรือเขาเล่าว่าจากประสบการณ์ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ
ถึงตอนนี้หวังว่าท่านคงจะตัดสินใจเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ที่สำคัญต้องมีวินัยต่อตนเองนะครับ
และจากการอ่านงานวิจัยมามากพอสมควรก็ได้นี่มาครับ
ตำลึง ในทุกๆส่วนของตำลึง ไม่ว่าจะเป็นราก ลำต้น ใบ และผล ล้วนสามารถที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี และมีสารเบต้าแคโรทีนซึ่งช่วยในการชะลอความแก่และต้านมะเร็ง ตำลึงจึงเป็นผักที่ต้องเป็นอาหารหลักเลยของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
แต่ที่แนะนำคือ ใช้เถาแก่ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
"วุ้นว่างหางจระเข้" ใช้วุ้นว่านหางจระเข้หั่นสดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะมาปั่น แล้วรับประทานวันละ 2 ครั้ง
"กะเพรา" ปัจจุบันมีการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่ากะเพรามีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาหืด ต้านความเครียด ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ต้านฮีสตามีน ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด ลดคลอเลสเตอรอล และที่สำคัญคือลดน้ำตาลในเลือด พบว่า ใบกะเพราทำให้เซลล์ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น และการวิจัยในผู้ป่วยเบาหวาน การให้ผงใบกะเพราวันละ 2.5 กรัม 4 สัปดาห์ สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ (เหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวานเล็กน้อยถึงปานกลาง)
ใช้ผงใบกระเพราทำชา ประมาณ 1 ช้อนชา น้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่ม วันละ 3 ครั้ง
แคปซูลกะเพรา รับประทานวันละ 2.5 กรัมต่อวัน หรือน้ำมันกะเพรา 2-5 หยด ต่อวัน
ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้กะเพรา ในคนท้องและหญิงให้นมบุตร
"ใบหม่อน" มีสารสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด โดยสารชนิดนี้จะออกมาได้ดีเมื่อนำไปชงแบบชา ทิ้งไว้ 3-5 นาที ซึ่งสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเอนไซม์ย่อยน้ำตาล การดูดซึมกลูโคสลด ระดับน้ำตาลในร่างกายก็จะลดลงด้วย
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลและหายช้ากว่าคนปกติทั่วไป มีการวิจัยพบว่า "บัวบก" สามารถเร่งการหายของแผลได้เร็วขึ้น โดยปั่นน้ำบัวบกเข้มข้นดื่มต่างน้ำ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่กินสมุนไพรในการช่วยลดน้ำตาลในเลือด ควรแจ้งให้แพทย์แผนปัจจุบันที่ทำการรักษาด้วย เนื่องจากบางครั้งแพทย์อาจจะจัดยาให้ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว เมื่อรับประทานผักหรือสมุนไพรควบคู่ด้วย ก็อาจทำให้น้ำตาลลดมากเกินไปอีกเช่นกันครับ
• เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวซ้อมมือและธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆจะประกอบไปด้วยวิตามินอี แมกนีเซียม และที่สำคัญคือใยอาหาร ในปริมาณที่สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลและปริมาณอินซูลินในกระเแสเลือด อีกทั้งใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ในธัญพืชไม่ขัดสีบางชนิด ซึ่งพบได้มากในข้าวบาร์เล่ย์และข้าวโอ๊ต มีสรรพคุณที่ดีเยี่ยมในการช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลไม่สูงมาก การรับประทานธัญพืชไม่ขัดสียังมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งเป็นโรคแทรกซ้อนหลักที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะเป็นได้ในอัตราสูงมาก
• ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเปลือกแข็งจะมีไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลได้ อีกทั้งยังช่วยในการทำให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วในถั่วเปลือกแข็งยังมีสารอาหาร ใยอาหาร และแมกนีเซียม ซึ่งมีประโยชน์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่มีข้อพึงระวังในการรับประทานถั่วเปลือกแข็ง กล่าวคือ ให้ทานถั่วเปลือกแข็งแทนการทานเนื้อสัตว์ หรือแทนการทานพวกขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น พวกมันฝรั่ง หรือคุกกี้ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะถั่วเปลือกแข็งมีไขมันและพลังงานที่ค่อนข้างสูงนั่นเอง โดยที่ไขมันที่ว่าเป็นประเภทไขมันดีชนิดเดียวกับที่มีในน้ำมันมะกอก ถ้าทานในปริมาณไม่มากก็ไม่เป็นอันตรายใดๆต่อร่างกาย
• กระเทียมและหัวหอม กระเทียมและหัวหอมมีสารที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด อีกทั้งยังมีสารที่ช่วยละลายลิ่มเลือด ทำให้ลดปัญหาอาการหลอดเลือดตีบ และคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งคือช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือดด้วย
• สะตอ นับว่าเป็นอาหารยอดนิยมชนิดหนึ่ง และมีสรรพคุณที่สำคัญในการช่วยลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดและช่วยลดความดันได้ดีอีกด้วย
• ผักบุ้ง ผักบุ้งมีสรรพคุณทางยาที่เป็นที่รับรู้กันดีคือ ช่วยบำรุงสายตาเพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอ นอกจากนี้ผักบุ้งยังช่วยลดอาการร้อนในและอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญในผักบุ้งมีสารคล้ายอินซูลินทำให้สามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดได้ จึงควรใช้ผักบุ้งทำเป็นอาหารให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
• ใบมะยม ในใบมะยมมีวิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูงมาก จึงสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี
• มะระจีน ในมะระจีนมีสารสำคัญที่ช่วยในการลดการดูดซึมของน้ำตาลกลูโคส และยังช่วยลดการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการข้างเคียงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
• ขมิ้น จะมีสารที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้อย่างดี
• ฟักทอง การรับประทานฟักทองทั้งเปลือกจะส่งผลดีให้ได้รับสารสำคัญซึ่งมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการหลั่งสารอินซูลินซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต อีกทั้งฟักทองมีกากใยในปริมาณที่สูงมากจึงช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ไม่ทำให้อ้วนเนื่องจากมีแคลอรี่ไม่สูง จึงทำให้สามารถป้องกันโรคเบาหวานได้
ช้าพลู
ในประเทศไทยมีตำรับยาพื้นบ้านที่ใช้ช้าพลูทั้งห้าต้มแก้เบาหวาน ซึ่งใช้แพร่หลายในชาวบ้าน ต่อมามีการศึกษา โดยต้มช้าพลูทั้งห้า แล้วทดสอบในกระต่าย พบว่าช้าพลูต้มสามารถช่วยลดน้ำตาลได้ดีในกระต่ายที่เป็นเบาหวาน แต่ไม่ลดในกระต่ายปกติ นอกจากนี้ ช้าพลูจัดเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับการแนะนำผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากมีฤทธิ์แอนตี้อ๊อกซิแด็นท์สูงมาก ทั้งยังมีปริมาณแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี สูงมากชนิดหนึ่ง และไม่ลดน้ำตาลในคนปกติอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับนำมาทานเป็นอาหาร เป็นชาหรือยาต้มในคนทั่วไปและผู้ป่วยเบาหวาน
คำเตือน ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับไตควรเลี่ยงครับ
วิธีใช้ นำช้าพลูทั้งห้า(ทั้งต้นจนถึงราก) 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3 ขัน เคี้ยวให้เหลือ 1 ขัน รับประทานครั้งละ ครึ่งแก้วกาแฟก่อนอาหาร 3 มื้อ สรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
มะระขี้นก (Bitter Cucumber)
ทั่วโลกยอมรับ กับการแก้เบาหวาน ครับจากงานวิจัยทั้งหลาย ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของน้ำคั้น ชาชง แคปซูล ผงแห้ง
มะระชี้นกนั้นออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับ องค์ประกอบทางเคมีของมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด คือ p-Insulin , Charantin และ Visine
ตำรับยา น้ำคั้นสดมะระขี้นก
นำผลมะระขี้นกสด 8-10 ผล เอาเมล็ดในออก ใส่น้ำเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม (ประมาณ 100 มล.) หรือรับประทานทั้งกากก็ได้ แบ่งรับประทานวันละ3เวลา ต่อเนื่อง
ตำรับยา ชามะระขี้นก
เอาเนื้อมะระขี้นกผลเล็กซึ่งมีตัวยามากมาผ่าเอาแต่เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้งแล้วชงกับน้ำเดือด โดยใช้ชินมะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มแบบชาครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือต้มเอาน้ำมาดื่มก็ได้ หรือ ใส่กระติกน้ำร้อนต้มดื่มแทนน้ำ ไม่เกิน 1 เดือน เห็นผล
ตำรับยา ทำแคปซูล หรือลูกกลอน มะระขี้นก
รับประทานมะระขี้นก 500-1000 มก. วันละ 1-2 ครั้ง
คำเตือน คนท้อง เด็ก คนที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรรับประทาน
เตยหอม (Pandan)
นำรากเตยหอมประมาณ 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ต้มเดือด จากนั้นเคี่ยวต่อประมาณ 15-20 นาที นำที่ได้ดื่มมาครั้งละ ครึ่งแก้ว วันละ 3 มื้อ หรือใช้ใบเตยร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น
ใบเตยหอม 32 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วชงดื่มแบบชา หรือใส่หม้อดินต้ม รับประทานยาต่างน้ำทุกวัน
ข้อแนะนำ ควรรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน
อบเชยจีน (Chinese Cinnamon)
มีสรรพคุณช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ในอบเชย มีสาร Methylhydroxy Chalone Polymer(MHCP) ที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีฤทธิ์เหมือนอินซูลินคือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
นอกจากลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว อบเชยจีนยังช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันตัวร้ายLDL และลดคลอเลสเตอรอลได้ด้วย
วิธีใช้
รับประทานผงอบเชยจีนประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน แบ่งเป็นเช้าครึ่งช้อนชา เย็นครึ่งช้อนชา บรรจุแคปซูลรับประทานได้ ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน นอกจากนี้เพียงเอาชิ้นอบเชยแช่ในถ้วยชาก็สามารถใช้ลดน้ำตาลได้ และการรับประทานในปริมาณที่สูงหรือต่ำนั้นก็ทำให้ความสามารถในการลดน้ำตาลไม่ต่างกัน
หมายเหตุ ถ้าไม่มีอบเชยจีน สามารถใช้อบเชยอื่นๆได้
อินทนิลน้ำ (Queen's Flower)
ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าอินทนิลน้ำมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โยมีสาระสำคัญชื่อ Corosolic acid ออกฤทธิ์เหมือนอินซูลิน จัดเป็นอินซูลินจากธรรมชาติ ไม่พบผลข้างเคียง ทั้งยั้งช่วยชะลอการย่อยแป้งในระบบทางเดินอาหาร และทำให้การลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ดีขึ้น โดยใบอินทนิลน้ำที่ดีเหมาะกับการนำมาทำยาคือใบแก่ ใกล้ผลัดใบ นอกจากนี้เมล็ดแห้งของอินทนิลน้ำก็สารถช่วยลดน้ำตาลได้เช่นกัน
ตำรับยา
1 ใบอินทนิลน้ำแก่ 100 กรัม น้ำสะอาด 1 ลิตร ต้มให้เดือด จากนั้นเคี่ยวไฟอ่อนต่อไปอีก 15 นาที ดื่มเป็นยาครั้งละ 1 ถ้วยชา เช้า กลางวัน เย็น ดื่มต่อเนื่องประมาณ 3 สัปดาห์ จึงสังเกตผลได้
2 ใบอินทนิลน้ำแห้ง 8-9 ใบ คั่วให้กรอบ นำมาต้มน้ำ กินต่างน้ำชา สามารถต้มแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้ ดื่มได้เรื่อยๆ กินติดต่อกันอย่างน้อย 12 หม้อ
ข้อควรระวัง เด็ก คนท้อง และมารดาระหว่างให้นมบุตร คนที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ห้ามใช้อินทนิลน้ำ ในคนที่เป็นเบาหวานควรมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดประจำเพื่อปรับขนาดยา
หว้า ผลไม้ ต้านภัยเบาหวาน
มีการศึกษาประโยชน์ของหว้าทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ถึงฤทธิ์ของการลดน้ำตาลในเลือดพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งการทำลายอินซูลิน ช่วยเพิ่มปริมาณอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งเบาหวาน เพิ่มปริมาณไกลโคเจน ในตับและแม้แต่ในอเมริกาก็มีการยืนยันว่าสารสกัดด้วยน้ำของเมล็ดหว้ามีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน
ตำรับยา ยาต้มเมล็ดลูกหว้า
1 เมล็ดสดของลูกหว้า 100 กรัม (1ขีด) 2 น้ำสะอาด 1 ลิตร
นำเมล็ดลูกหว้ามาโขลก ใส่หม้อต้มให้เดือด เคี่ยวไฟอ่อนๆสัก 15 นาที ให้ตัวยาออกมา รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 มื้อ เป็นเวลา 1 เดือน อาการเบาหวานจะทุเลา สามารถลดยา หรือใช้สมุนไพรในการดูแลอย่างเดียวได้ แต่ควรวัดระดับน้ำตาลในเลือดเสมอ (สามารถใช้เมล็ดแห้งแทนได้ กรณีไม่มีเมล็ดสด)
ตำรับยา ยาผงหรือแคปซูลหว้า
ผงเมล็ดลูกหว้าแห้ง 250 มิลลิกรัม นำผงเมล็ดลูกหว้าแห้งบรรจุแคปซูล หรือใช้ระลายน้ำ รับประทานวันละ 3 เวลา ขนาดอาจเพิ่มได้ถึง 4 กรัมต่อวัน รับประทานติดต่อกัน 1 เดือน สังเกตผลระดับน้ำตาลในเลือด
การใช้เป็นอาหารสุขภาพ ลูกหว้า อาจใช้ผลสดหรือแห้ง นำมาต้มเป็นน้ำสมุนไพร สำหรับผู้ป่วยเบาหวานได้เช่นกันครับ
ใบย่านาง
ผมใช้การเคี้ยวใบสดเลยครับสักวันละ 10-20ใบขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวแต่ถ้าท่านทำแบบผมไม่ได้ ก็ไปหาวิธีทำเอาครับแต่จำไว้ครับไม่ควรให้มันมีความร้อนครับ
เลือกเอาครับสะดวกแบบไหน ลองเชื่อตัวเองบ้างเพราะสุขภาพเป็นของเราครับ ก่อนลาก็ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีกันทุกถ้วนหน้าครับ สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น