วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

โรคเบาหวานหายขาดได้ด้วยการฟื้นฟูตับอ่อน1

13 Sep 2014

ผมทราบมานานแล้วครับว่าโรคเบาหวานรักษาให้หายขาดได้ แต่ไม่นึกว่าจะมีคนมาขอคำปรึกษา ผมเข้าใจว่าที่เขารักษากันอยู่ในปัจจุบันนั้นหายภายใน 7 เดือนอย่างที่ผมเข้าใจ ก็เห็นคนแถวบ้าน เขาไปกันทุกวันพุธ บอกผมว่าหมอเบาหวานนัด ผมก็เฉยๆ พอมาเก็บข้อมูลเข้าจริงๆเขาบอกว่ามันไม่หายต้องกินยาไปตลอดชีวิต เลยขอดูยา จากหลาย ๆ ท่านที่ไปเอายาฟรี มาทานกัน และศึกษายาหลักในคลังแห่งชาติของหลายโรงพยาบาล ก็ถึงบางอ้อครับ ตลอดชีวิตแน่นอนครับ มีโรคแทรกซ้อนด้วยครับ วันนี้มาเข้าใจกันให้ลึกซึ้งถึงแก่นในกันเลยครับ
ความรู้เบื้องต้นครับ
เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
อินซูลิน กับ เบาหวาน
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่ในการนำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อใช้ในการสร้างพลังงานและสร้างเซลล์ต่างๆ โดยปรกติแล้วเมื่อมีน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดตับอ่อนก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่ง อินซูลิน แล้วอินซูลินก็จะเข้าจับน้ำตาลเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งร่างกายมี อินซูลิน ไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ประเภทของ เบาหวาน
เบาหวาน สามารถแบ่งออกได้เป็น2ชนิด ได้แก่
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน(autoimmune)
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็น เบาหวาน ที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม อาหารที่เราๆ ท่านๆ ทานกันอยู่นี่แหละครับ และงายวิจัยส่วนใหญ่ก็บอกว่ามาจากความหวานและการทานอาหารไม่ตรงเวลาแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด
อาการเบื้องต้นของ เบาหวาน
ผู้เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเบื้องต้นคือ
1. ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตุจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน
2. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น
3. กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง
4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
5. เบื่ออาหาร
6. น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน
7. ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตุได้
จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก
8. สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน
9. อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง
10. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไต
โดย เบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะมีอาการเหล่านี้บางอย่าง หรืออาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย
อาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน
มักจะเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปีแล้วไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง
• ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy)เกิดจากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium ของ หลอดเลือดเล็กๆ ในลูกตา ทำให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น Basement membrane มากขึ้น ทำให้ Basement membrane หนา แต่เปราะ หลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่าย เลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมา และมีส่วนทำให้ Macula บวม ซึ่งจะทำให้เกิด Blurred vision หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มาตกกระทบยัง Retina ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง ตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
• ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)ไตมักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ Glomeruli จะทำให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปี นับจากแรกเริ่มมีอาการ
• ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) เบาหวาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เช่นรู้สึกชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด ในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ(impotence)
• โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease) เบาหวาน เป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วย เบาหวาน บางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจาก เบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของผู้เป็น เบาหวาน คือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่นอาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป ดังนั้นผู้เป็น เบาหวาน บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ หัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
• โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) ผู้เป็น เบาหวาน จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิดหลอดเลือดตีบได้สูง เพราะ เบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่งร่างกายและถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมอง ก็จะเกิดอัมพาตขึ้น โดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็น โรคเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า โดยจะมีอาการเบื้องต้นสังเกตุได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใดหรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงโดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง
• โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral vascular disease)
• แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer)
สิ่งที่ตรวจพบเมื่อเป็น เบาหวาน
เบาหวานชนิดที่ 1 มักพบในคนที่ มีรูปร่างซูบผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อลีบฝ่อ
เบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีรูปร่างอ้วน บางรายตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติตามร่างกาย
การตรวจปัสสาวะมักจะพบน้ำตาลในปัสสาวะขนาดมากกว่าหนึ่งบวกขึ้นไป
การตรวจน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 6 ชั่วโมง (fasting plasma glucose/FPG) มักพบว่ามีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร
ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ
1. เสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลิน Agents Enhancing the Effectiveness of Insulin ยาในกลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำยาในกลุ่มนี้ได้แก่
• Metformin
• Troglitazone
• Acarbose
2. ยาเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน Agents Augmentating the supply of Insulin ยาในกลุ่มนี้เพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ได้แก่
• Sulfonylurea
• Repaglinide
• Insulin
• Sitagliptin
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ใช้ยาดังนี้
• ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้ยา metformin แนะให้ใช้ยาชนิดนี้เป็นยาชนิดแรก
• ปรับยาเพื่อให้ได้ค่าน้ำตาลเฉลี่ยได้ตามเป้าหมายใน 3-6 เดือน หากไม่ได้เป้าหมายและใช้ยาเต็มที่แล้วให้เพิ่มยาชนิดที่ 2
• ยาชนิดที่ 2 ที่ให้ใช้คือ glucagon-like peptide-1 (GLP-1) และยารับประทานเบาหวานชนิดอื่น
• หากผู้ป่วยที่เป็นใหม่ และมีน้ำตาลสูงและมีอาการมากแนะนำให้ใช้อินซูลินในการรักษาเบื้องต้น
• ถ้ายา เม็ดควบคุมไม่ได้ก็ต้องใช้การฉีด
ผลข้างเคียงของยาเพื่อรักษาโรคเบาหวาน
อาจเกิด เป็นลมพิษ หายใจลำบาก บวมหน้า ปาก และคอ ให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์ที่จ่ายยาให้ท่าน
ส่วนยา Glibenclamide
ยานี้ลดน้ำตาลในเลือดโดยกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน
ผลข้างเคียงของยา
ผลต่อระบบโลหิต
พบน้อยอาจจะรุนแรงเสียชีวิตได้ ผลข้างเคียงที่พบได้แก่ เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ โลหิตจาง ซึ่งจะมีอาการ จ้ำเลือด เลือดออกง่ายเช่นเลือดกำเดา หรือเลือดออกตามไรฟัน เป็นหวัดง่าย
ผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
แพ้ยาทำให้เกิดอาการหอบหืด ริมฝีปาก คอ ลิ้นบวม
ผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
• อาจจะทำให้เกิดภาวะโซเดี่ยมในเลือดต่ำ
• เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ Hypoglycaemia
ผลต่อการมองเห็น
การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว
ผลต่อระบบทางเดินอาหาร
อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน รู้สึกจุกเสียดแน่นท้อง อาจจะท้องร่วง
ผลต่อตับ
อาจจะทำให้เกิดตับอักเสบ เมื่อหยุดยาอาการจะดีขึ้น
ผลต่อผิวหนัง
อาจจะเกิดแพ้ยาชนิดรุนแรง เช่น erythema multiforme, Stevens-Johnson syndrome, erythema nodosum and exfoliative dermatitis หรือที่รุนแรงน้อยได้แก่ ผื่นคัน แพ้แสงแดด
สิ่งที่ต้องระวังคือมิให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
• ผู้ป่วยสูงอายุ ขาดอาหาร หรือช่วยตัวเองไม่ได้กลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
• ออกกำลังกายมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
• ผู้ป่วยที่ไตวายผู้ที่มีโรคต่อมหมวกไต การใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่น
ทำให้ยา Glibenclamide ออกฤทธิ์มากขึ้นซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
ยาที่เสริมฤทธิ์ได้แก่ ยารักษาโรคติดเชื้อ (เช่น: hloramphenicol, fluconazole, miconazole, sulphonamides ),ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID (เช่น.:phenylbutazone, salicylates),ยาต้านการแข็งตัวของเลือด warfarin ,ยาลดไขมัน (เช่น.clofibrate), ยาต้านซึมเศร้า(monoamine oxidase inhibitors, doxepin, nortriptyline), ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE-inhibitors เช่น captopril, enalapril,ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร H2- blockers, cimetidine, ranitidine,
เมื่อเกิดอาการข้างเคียงควรทำอย่างไร
• อาการข้างเคียงที่เกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติมีดังนี้: ปวดศีรษะ เหงื่อแตก สั่น กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย ปากหรือลิ้นชา สับสน ตาพร่า หากมีอาการดังกล่าวควรดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำหวาน หรืออมลูกกวาดหรือน้ำตาล และปรึกษาแพทย์
• หากมีอาการจะเป็นลม ควรขอคนนำส่งแพทย์หรือโรงพยาบาลทันที
• หากมีอาการต่อไปนี้ ได้แก่ มีผื่นคันหรือแดง ผิวไหม้แดดผิดปกติ ตาหรือผิวมีสีเหลือง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม มีไข้ เจ็บคอ ควรพบแพทย์ทันที
• คลื่นไส้อาเจียน แน่นท้อง ไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปัสสาวะเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง
• ซีด อ่อนแรง สับสน มีจ้ำเลือด เลือดออกง่าย
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดที่ใช้รักษาเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ผมเลยลองศึกษาของต่างประเทศบ้าง ปรากฏว่าในสหรัฐเองตอนนี้ผู้ป่วยราว 38 % หันมาใช้วิธีอื่น ๆ เช่นใช้สารสกัดจากพืชธรรมชาติในการบำบัด ในอังกฤษ เปลี่ยนวิธีรักษาราว 45 % แต่ในเอเซียประเทศที่ผมยอมคารวะ คือไต้หวัน แน่จริงๆครับ และผมจะเอาที่ไต้หวันและของดีของไทยมาฝากในตอนต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น